ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน วาสนาคนเขลา บทที่หนึ่ง-บทที่สอง
เขามาถึงห้องหนังสือ ลองต่อภาพผังที่ถูกหลี่เสวียนเอ๋อร์ฉีกขาด แต่หลี่เสวียนเอ๋อร์นั่นก็เป็นคนเจ้าเล่ห์เช่นกัน จงใจให้ภาพส่วนหนึ่งเปื้อนน้ำชา เลือนจนดูไม่เป็นรูปแล้ว
เสิ่นหรูป๋อนั่งเงียบๆ ในใจครุ่นคิดประโยชน์และโทษต่างๆ สุดท้ายยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ นึกอยากใช้สาวงามสมองเสื่อมผู้นั้นมาคลายความรำคาญใจ จึงลุกขึ้นสั่งให้คนเปิดประตูห้องด้วยสีหน้าดุร้าย
ภายในห้องเงียบมาก มีเพียงผ้าห่มบนเตียงใหญ่หลังม่านที่นูนสูงขึ้น หลี่รั่วอวี๋เหมือนจะนอนหลับไปแล้ว
เสิ่นหรูป๋อสูดหายใจเข้าลึก เดินไปที่หน้าเตียงอย่างช้าๆ ก่อนจะยื่นมือไปเปิดผ้าห่ม… ทว่าสิ่งที่อยู่ใต้ผ้าห่มคือหมอนหนุนเพียงใบเดียว!
เสิ่นหรูป๋อหน้าเปลี่ยนสีทันใด รีบเงยหน้าขึ้นมองไปโดยรอบ ปากก็ตะโกนว่า “รั่วอวี๋! เจ้าอยู่ที่ใด เด็กดี รีบออกมาเถอะ”
แต่ภายในห้องเงียบมาก ไม่มีเสียงตอบรับใด เขาก้มลงตรวจดูใต้เตียงก็พบว่าว่างเปล่าเช่นกัน ในห้องนี้ตกแต่งเรียบง่าย ไม่มีสถานที่บังตาอื่นใดอีก
เมื่อก้าวเท้าเดินไปที่ข้างหน้าต่าง เสิ่นหรูป๋อก้มลงเก็บเศษชายกระโปรงที่ฉีกขาดกับช้อนอีกคันหนึ่ง รู้สึกตกใจที่เห็นเส้นเหล็กที่หน้าต่างถูกบิดจนเปลี่ยนรูปร่าง…
นอกหน้าต่างไกลออกไป มีเพียงผู้เฒ่าตาเดียวทำงานอยู่ เขาหูหนวกมาแต่เกิด ทำงานก็ตั้งใจมาก เขากำลังตั้งใจซ่อมรั้วกั้นอยู่ ใช้ลวดเหล็กในมือบิดอย่างแรงไปบนแท่งไม้ แต่คงใช้แรงมากเกินไป ไม้นั่นจึงถูกรัดเป็นรอยลึก…
หากเขาเดาไม่ผิด หลี่รั่วอวี๋คงจะเห็นแล้วได้แรงบันดาลใจจึงคิดวิธียอดเยี่ยมเช่นนี้ออกมาได้ อาศัยเศษผ้าที่ถูกบิดเข้าด้วยกันกับช้อนหนึ่งคัน เอาเศษผ้ามาผูกบนเส้นเหล็กหน้าต่าง แล้วออกแรงบิดผ้าบนช้อน การยืมแรงแบบนี้แม้แต่หญิงสาวอ่อนแอก็สามารถบิดเส้นเหล็กที่ไม่นับว่าบางมากให้ผิดรูปไปได้ จากนั้นก็มุดหนีออกไปจากที่นี่
เสิ่นหรูป๋อไม่มีเวลาให้คิดอะไรอีก รีบสั่งบ่าวไพร่ให้ออกตามหาหลี่รั่วอวี๋ให้ทั่ว
เขาประมาทเกินไป เดิมคิดว่าหลี่รั่วอวี๋สมองเสื่อมไปแล้ว จึงละเลยการป้องกันภายในเรือน เอาแต่สนใจนอกเรือน เพื่อไม่ให้ฉู่ซือหม่าส่งคนมาคิดทำเรื่องไม่ดี แต่ไม่เคยคิดว่าหญิงสาวสมองเสื่อมผู้นี้จะอาศัยเศษผ้าไม่กี่เส้นกับช้อนข้าวต้มหนึ่งคันก็บิดเส้นเหล็กให้ถ่างออกแล้วมุดหนีออกไปได้
หลี่รั่วอวี๋ เจ้ากลับเป็นปกติแล้วหรือ!
ไม่ช้าบ่าวผู้หนึ่งก็พบร่องรอยที่มุมกำแพงด้านหนึ่ง “คุณชายรอง เหมือนมีคนลอดรูหมาลอดออกไปขอรับ!”
เสิ่นหรูป๋อออกจากเรือนมาดูทันที แล้วก็เป็นจริงดังคาด ข้างรูหมาลอดนั้นพบรอยเท้าเล็กๆ จำนวนหนึ่ง รอยเท้านี้ไปถึงจุดที่หลี่เสวียนเอ๋อร์จอดรถม้าเอาไว้เมื่อครู่แล้วหายไป…
เสิ่นหรูป๋อขมวดหัวคิ้ว สั่งการเสียงเข้ม “เตรียมม้า! ไล่ตามรถม้าของคุณหนูสาม!”
หลี่รั่วอวี๋ซ่อนตัวอยู่บนรถม้าของหลี่เสวียนเอ๋อร์จริงๆ
หลี่เสวียนเอ๋อร์เพื่อพรางตาผู้คน รถที่จ้างคันนี้จึงเป็นรถขนสินค้าที่ขนผ้าให้ร้านผ้าก่อนหน้านี้ ตัวรถครึ่งหน้าสามารถให้คนนั่งได้ แต่ด้านหลังมีตะกร้าใหญ่หลายใบอยู่นอกตัวรถ มีเศษผ้าที่ร้านผ้าตัดทิ้งอยู่กองหนึ่ง เศษผ้าเหล่านี้แม้จะไม่มีราคา แต่พวกหญิงสาวตามหัวถนนท้ายตรอกชอบซื้อมาเย็บปะเสื้อผ้า นับว่าเป็นรายได้เสริมเล็กน้อยของคนบังคับรถ
หลี่รั่วอวี๋ซ่อนอยู่ในตะกร้าหนึ่งในนั้น ทำราวกับรังนกใช้เศษผ้ามากองสุมบนหัวจนสูง รถม้าเคลื่อนที่ไม่เร็ว ท่ามกลางเสียงล้อรถนั้นสามารถได้ยินเสียงจากในตัวรถได้
“คุณหนู คุณชายรองเสิ่นนั่นรับปากแต่งท่านเข้าบ้านหรือยังเจ้าคะ”
“เขาไม่ตอบตกลงไม่ได้ ตอนนี้นางสมองเสื่อมนั่นเป็นเศษสวะไปแล้ว ก็เป็นแค่คนที่หาความสุขด้วยบนเตียงเท่านั้น เขาเสิ่นหรูป๋อไม่โง่ จะยอมทิ้งข้าซึ่งเป็นคนกุมเคล็ดวิชาการต่อเรือผู้นี้ แล้วแต่งกับเศษสวะนั่นแค่คนเดียวได้อย่างไร แต่ว่าอย่างไรเสียนางก็ยังเป็นพี่รองของข้า ข้าไม่สนใจนางไม่ได้ แม้จะเป็นภรรยาที่ฐานะเท่าเทียมกัน แต่ยังต้องให้ข้าดูแลเรื่องความเป็นอยู่ของนางไม่ใช่หรือ”
“คุณหนูสามใจกว้างจริงๆ ยังคิดถึงความเป็นพี่น้องอีกด้วย…”
หลี่รั่วอวี๋หลุบดวงตาโตลง เล่นเศษผ้าในตะกร้า ถึงแม้นางจะพูดจาไม่คล่องแคล่ว แต่ความหมายในคำพูดของผู้อื่นล้วนฟังได้เข้าใจ เสียงนั้นเป็นของน้องสามที่นางมักจะได้ยินในบ้านเสมอ คำว่า ‘นางสมองเสื่อม’ ที่น้องสามพูดถึงก็คือนาง ในจุดนี้นางรู้เช่นกัน เพื่อนร่วมเรียนของน้องชายบางคราก็จะเรียกนางต่อหน้าเช่นนี้ เดิมทีนางไม่เข้าใจ แต่น้องชายจะโกรธจนหน้าแดงก่ำและทุบตีเด็กผู้นั้นยกใหญ่ จึงเห็นได้ว่านี่ไม่ใช่คำที่ดี
หลี่รั่วอวี๋แอบขึ้นรถม้าคันนี้ เดิมทียังดีใจที่จะได้พบน้องสามและสามารถกลับบ้านได้ทันที แต่จู่ๆ นางก็ไม่อยากนั่งบนรถม้าคันนี้แล้ว นางพยายามลุกขึ้นจากตะกร้าใหญ่ ฉวยโอกาสตอนที่รถม้าผ่านหลุมโคลน กลิ้งลงจากรถม้าทั้งคนและตะกร้า
โชคดีที่คนบังคับรถเร่งเจ้าม้าตัวนั้น เสียงหอบแรงและเสียงพ่นจมูกของเจ้าม้า รวมทั้งเสียงขาสี่ขาที่เหยียบย่ำอยู่ในหลุมโคลน ทำให้กลบเสียงตะกร้าไม้ไผ่ตกพื้นไปได้พอดี ตะกร้าพร้อมคนกลิ้งลงจากเนินเขานั้นไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากรถม้าจากไปแล้ว หลี่รั่วอวี๋ที่ตัวเต็มไปด้วยดินโคลนก็โงนเงนลุกขึ้นยืน มองไปรอบด้านอย่างงุนงง จู่ๆ ก็รู้สึกว่าวันนี้ดูเหมือนจะยาวนานกว่าวันที่ผ่านมา
ทันใดนั้นก็มีนกใหญ่ตัวหนึ่งบินผ่าน นกเช่นนั้นนางไม่เคยเห็นมาก่อน หลี่รั่วอวี๋เลียริมฝีปากอย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะกลืนน้ำลายอย่างแรงและลากตะกร้าไล่ตามนกใหญ่ตัวนั้น โดยอาศัยความรู้สึกเดินตามลำธารเข้าไปในป่าทึบ
ในตอนที่นางเดินเข้าป่าไปได้ไม่นาน เสิ่นหรูป๋อก็นำคนขี่ม้าผ่านตรงนี้แล้วไล่ตามรถม้าข้างหน้าไป…
(ติดตามตอนต่อไปวันที่ 2 ก.ย. 62)