คำพูดเสียดแทงใจเช่นนี้ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเสิ่นมีสีหน้าเคืองโกรธ นางเป็นคุณหนูที่มาจากตระกูลร่ำรวย มีเสื้อผ้าดีอาหารดีมาตั้งแต่เด็ก มีความราบรื่นทุกอย่าง สามีที่ล่วงลับกับบุตรชายคนโตล้วนทำตามนางทุกอย่าง มีเพียงบุตรชายคนรอง ไม่รู้ว่าได้นิสัยมาจากผู้ใด ทำลายชื่อเสียงมารดาตนเองแล้วยังไม่ละอาย ช่างน่าโมโหเสียจริง
ระหว่างที่พูด เสิ่นหรูป๋อก็ทิ้งท่านแม่ที่ยังคงตกตะลึงเดินมาถึงหน้าประตูคฤหาสน์แล้ว ก่อนที่เขาจะพลิกตัวขึ้นหลังม้า สะบัดแส้ในมือ และรีบรุดไปที่คฤหาสน์สกุลหลี่ในอำเภอเฉิงเป่ย…
ตอนเสิ่นหรูป๋อไปถึงคฤหาสน์สกุลหลี่ คนเฝ้าประตูก็รายงานว่าฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ออกไปตามหาท่านหมอชื่อดัง ตกเย็นจึงจะกลับคฤหาสน์
เสิ่นหรูป๋อได้ฟังแล้วเพียงแค่พยักหน้า ไม่ได้หมุนตัวเดินจากไป แต่มอบแส้ม้าให้กับคนเฝ้าประตู จากนั้นก็เดินตรงไปเรือนด้านหลังคฤหาสน์สกุลหลี่อย่างคุ้นเคย
บ่าวไพร่ของคฤหาสน์สกุลหลี่เหมือนจะเห็นเป็นเรื่องปกติ จึงไม่ได้ขัดขวางแต่อย่างใด
เพราะบ่าวไพร่ล้วนรู้ว่า คุณหนูรองของตนเองไม่ใช่หญิงสาวที่ถูกเลี้ยงอยู่แต่ในเรือน นางกับคุณชายรองเสิ่นแม้จะยังไม่ได้แต่งงานกัน แต่มีความรักลึกซึ้งต่อกัน หลังจากทำการหมั้นหมายเมื่อสามปีก่อน เสิ่นหลี่สองสกุลก็ร่วมมือกันเปิดสาขาการค้าหลายแห่ง ดังนั้นคุณชายรองเสิ่นจึงมาพบคุณหนูปรึกษาเรื่องสำคัญทางการค้าอยู่บ่อยครั้ง ในสายตาของบ่าวไพร่ คุณชายรองเสิ่นที่ยังไม่แต่งเข้าบ้านผู้นี้ก็สนิทเหมือนกับคนในบ้านเดียวกัน หากไม่ใช่เพราะนายท่านล่วงลับไปเมื่อหนึ่งปีก่อน คุณหนูรองอยากไว้ทุกข์ให้ท่านพ่อ ทั้งสองคงจะแต่งงานกันไปแล้ว จะดึงเวลามาถึงวันนี้ได้อย่างไร… ส่วนคุณหนูรองอาจจะหลบผ่านเคราะห์กรรมครั้งนี้ไปได้ ไม่ตกจากหลังม้า… เฮ้อ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นชะตาจากสวรรค์จริงๆ!
ตอนที่เงาร่างสูงใหญ่ของเสิ่นหรูป๋อปรากฏขึ้นตรงประตูวงเดือนในสวนดอกไม้ด้านหลัง เสียงดังสนั่นที่ดังมาจากในศาลาพักร้อนบนสระน้ำของสวนดอกไม้ก็ทำให้เขาชะงักฝีเท้า ก่อนจะช้อนตามองไป ท่ามกลางดอกเข็มที่เบ่งบาน ทำให้เงาร่างบอบบางในศาลาพักร้อนนั้นยิ่งดูหงอยเหงากว่าเดิม
เห็นหญิงผู้นั้นหันหลังให้เขาคุกเข่าอยู่บนพื้นหิน ผมยาวราวเส้นไหมไม่ได้มวยขึ้น ปล่อยให้เส้นผมปลิวสะบัด คลอเคลียไปบนแผ่นไหล่บาง
เสิ่นหรูป๋อหรี่สองตาเรียวยาวลงเล็กน้อย แล้วก้าวเท้าเดินไปบนศาลายาวอย่างช้าๆ มาถึงด้านหลังร่างบางนั่น พอก้มหน้าลงดูจึงพบว่านางเหมือนจะทำถ้วยชาหยกขาวถ้วยหนึ่งตกแตก กำลังวุ่นวายเช็ดคราบชาที่กระเด็นถูกคอเสื้ออยู่ท่ามกลางเศษหยกที่แตกกระจาย… เนื้อผ้าบางเปียกชื้นนั้นแนบไปกับแผ่นอกเนียนของหญิงสาว เผยให้เห็นลายดอกบนบังทรงสีบานเย็นที่อยู่ข้างใน เมื่อลมหายใจเข้าออก ส่วนโค้งที่งดงามก็ทำให้คนหายใจไม่ทั่วท้อง…
ดูเหมือนจะเหลือบเห็นรองเท้าใหญ่ข้างกาย หญิงสาวเงยหน้าขึ้นอย่างลังเล ใต้หน้าผากงดงามนั้นคือดวงตาโตที่เปล่งประกายงดงาม แต่ดวงตาคู่งามนี้เหมือนจะขาดความฉลาดเฉลียวเหมือนที่ผ่านมา ดูเหม่อลอย มองชายหนุ่มสูงใหญ่งามสง่าข้างกายนี้อย่างหวาดหวั่น
เสิ่นหรูป๋อไม่ได้ส่งเสียงพูด ราวกับกำลังปรับลมหายใจอยู่ แม้จะผ่านไปสองเดือนเต็มแล้ว แต่ทุกครั้งที่เห็นนาง นางที่ปกติจะสงบนิ่งงามสง่ามีท่าทางหวาดหวั่นเช่นนี้ เขาก็รู้สึกลังเลใจอยู่บ้าง…
หลังจากล้มหัวฟาด หญิงสาวที่ฉลาดเฉลียวผู้นี้ก็พูดจาไม่เป็นคำ ได้ยินท่านหมอชื่อดังที่เชิญมาจากเมืองหลวงพูดว่า คงเพราะมีก้อนเลือดคั่ง กระทบถึงสมองส่วนความคิดของนาง ทำให้นางเหมือนเด็กอายุสามขวบ การสวมใส่เสื้อผ้า การกินอาหาร การดำเนินชีวิตล้วนต้องค่อยๆ สอนกันไป
วันนี้ไม่รู้เพราะเหตุใด ข้างกายนางจึงไม่มีผู้ใดเลย ปล่อยให้นางอยู่ในศาลาพักร้อนแห่งนี้ตามลำพัง
เพราะช่วงเวลานี้นอนติดเตียง ผิวพรรณที่ก่อนหน้าเคยผ่านการเข้าออกอู่เรือและตากแดดจนคล้ำเพราะไม่ได้เจอแสงแดดมานาน จึงค่อยๆ เปลี่ยนกลับเป็นผิวขาวราวหิมะดังเดิม ริมฝีปากสีชมพูทั้งสองกลีบราวกับย้อมด้วยน้ำผึ้ง ปลายคางที่งดงามแต่เดิม ในวันนี้ยิ่งดูเรียวแหลมมากกว่าเดิม เมื่ออยู่ภายใต้ผมงามดำขลับแล้ว ใบหน้านั้นยิ่งดูเล็กน่ารัก…