ตอนที่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่คลอดหลี่รั่วอวี๋ก็มีอายุมากอยู่แล้ว และเพราะคลอดยาก ทำให้ร่างกายทรุดโทรมไปบ้าง ตอนนั้นท่านหมอวินิจฉัยว่าคงตั้งครรภ์อีกได้ยาก นางกังวลว่าจะไม่สามารถมีผู้สืบสกุลให้สกุลหลี่ได้ จึงได้ขอร้องให้สามีรับโจวซื่อที่เป็นบุตรสาวชาวนามาเป็นอนุ หลังจากรับโจวซื่อเข้าบ้าน สามีก็ไม่ได้ละเลยหมางเมินนางที่เป็นภรรยาเอก เทียบกับโจวซื่อที่มีกำเนิดมาจากครอบครัวชาวนาแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ที่มีกำเนิดมาจากครอบครัวบัณฑิตจึงได้รับความเคารพรักจากนายท่านหลี่มากกว่า คงเพราะความรักลึกซึ้งของสามีภรรยาทำให้สวรรค์ซาบซึ้งใจ หลังจากโจวซื่อเข้าบ้านมาก็ให้กำเนิดบุตรสาวหลี่เสวียนเอ๋อร์เพียงคนเดียว ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ที่เป็นภรรยาเอกกลับได้บุตรชายตอนอายุมากถึงสี่สิบหกปี ให้กำเนิดคุณชายน้อยหลี่รั่วเสียน
น่าเสียดายที่สามีป่วยและตายจากโลกนี้ไป โชคดีที่บุตรสาวคนรองหลี่รั่วอวี๋มีความสามารถจึงประคองกิจการคฤหาสน์สกุลหลี่ได้ แม้จะทำงานดูแลสกุลหลี่ได้เพียงสองเดือน แต่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ที่เสพสุขมาตลอดกลับหมดกำลังใจ รู้สึกว่าใจจะขาด บุตรสาวคนรองของตนเองที่อายุยังน้อยหลายปีมานี้ทนผ่านมาได้อย่างไร คงเพราะสวรรค์ทนเห็นไม่ไหว จึงได้ส่งเคราะห์ร้ายนี้มา ให้บุตรสาวตนเองได้พักผ่อนบ้างกระมัง
ในใจมีความสงสารละอายใจต่อบุตรสาวคนรอง ดังนั้นการจัดงานแต่งงานย่อมต้องทำอย่างเต็มที่ สกุลหลี่ไม่ขัดสนเงินทอง ของล้ำค่าหายากจากเหนือจรดใต้ล้วนมีนับไม่ถ้วน ขนเข้ามาในคฤหาสน์เหมือนไม่ต้องใช้เงินซื้อ ภายในคฤหาสน์สองวันนี้จึงคึกคักเป็นอย่างมาก
วันนี้โจวอี๋เหนียงพาบุตรสาวตนเองหลี่เสวียนเอ๋อร์ไปทักทายยามเช้าที่ห้องฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ และเอาหมอนมังกรหงส์คู่หนึ่งที่ตนเองเพิ่งเย็บใหม่มาให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ดู ตามประเพณีท้องที่เมืองเหลียวเฉิง บุตรสาวออกเรือน คนเป็นแม่ต้องลงมือเย็บปักหมอนมงคลเอง
“หลายวันมานี้พี่ร้องไห้ตาแดง ไม่เหมาะจะลงมือเย็บปักที่เป็นผลเสียต่อดวงตา ถ้าไม่รังเกียจที่น้องฝีมือหยาบ ก็เอาหมอนปักคู่นี้ให้คุณหนูรองใช้เถิด” โจวอี๋เหนียงหน้าตาหมดจด พูดจาก็อ่อนโยนยิ่ง ตอนแรกแม่สื่อหาหญิงสาวจากหลายบ้านมาให้นายท่านหลี่เลือก เขาก็ชอบในนิสัยอ่อนโยนของโจวซื่อ ไม่มีทางเข้าบ้านแล้วจะก่อเรื่องแย่งชิงความรัก จึงได้เลือกโจวซื่อแต่งเข้าบ้าน
หลายปีมานี้ โจวอี๋เหนียงผู้นี้ก็เอาใจนายท่านและฮูหยินทุกอย่าง ภรรยาเอกกับอนุนับว่าปรองดองกันดี สงบสุขไม่มีเรื่องอะไร นายท่านตายไปเร็ว ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่บางครั้งก็รู้สึกว่าตนเองกล่อมให้นายท่านรับอนุเข้ามาเป็นเรื่องที่ถูกต้อง อย่างน้อยในคฤหาสน์ที่มีแต่แม่ม่ายลูกกำพร้าก็ยังมีพี่น้องที่พูดคุยกันได้ ฆ่าเวลาครึ่งชีวิตที่เหลืออันเงียบเหงาได้
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่รับหมอนปักคู่นั้นมา ลูบฝีเข็มที่ประณีตนั้นแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “น้องหญิงช่างเอาใจใส่จริง งานเย็บปักของข้าไม่ดีมาแต่ไหนแต่ไร แม้จะลงมือปักเองก็คงประณีตสู้เจ้าไม่ได้ เจ้ามีน้ำใจ ทำงานที่ข้าควรจะทำโดยไม่ต้องพูด แต่เรื่องใหญ่อันดับแรกของรั่วอวี๋ในชาตินี้ ข้าที่เป็นแม่จะปล่อยปละได้อย่างไร แม้จะเชิดหน้าชูตาไม่ได้แต่ก็ต้องปักเอง รบกวนน้องหญิงช่วยวาดภาพตัวอย่างให้ที ถึงตอนนั้นก็ใช้พร้อมกับหมอนของเจ้าคู่นี้ด้วยก็แล้วกัน”
โจวอี๋เหนียงได้ฟังก็ยิ้มอ่อนโยน หลังจากช่วยฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เลือกกำไลคู่ลงทองฝังมุกที่บ่าวส่งมาให้ดูแล้วก็เอ่ยปากอย่างไม่รีบไม่ร้อน “การแต่งงานเสริมมงคลนี้เป็นเรื่องดี คุณหนูรองได้สามีที่เอาใจใส่ดูแล เห็นได้ว่าสวรรค์ก็เห็นใจ หลังจากแต่งงานไปแล้วก็เพียงพักฟื้น ผ่านไปสักระยะ ต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน”
ตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่พอจะรับสภาพบุตรสาวตนเองในตอนนี้ได้บ้างแล้ว เมื่อได้ยินคำพูดของโจวอี๋เหนียงก็ถอนหายใจยาวพลางกล่าว “หวังว่าจะเป็นอย่างที่น้องหญิงว่า…”
โจวอี๋เหนียงหยุดไปชั่วครู่แล้วจึงเอ่ยขึ้น “แต่ว่าตอนนี้คุณหนูรองสติไม่ครบถ้วน คุณชายรองเสิ่นแม้จะเอาใจใส่ดูแลดี แต่เมืองหลวงอยู่ไกลจากเมืองเหลียวเฉิงมาก แม้จะมีสาวใช้บ่าวอาวุโสตามไปปรนนิบัติข้างกายก็อย่าวางใจ ถ้าข้างกายคุณหนูรองไม่มีคนที่ใกล้ชิดเชื่อใจได้ ฮูหยินไม่เป็นห่วงอยู่ตลอดเวลาหรือ”
คำพูดของโจวอี๋เหนียงนี้เป็นสิ่งที่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่กังวลมาตลอด ตอนนี้ถูกพูดจี้ใจดำจึงร้อนใจขึ้นมาในทันที “แล้วตามความคิดของน้องหญิง ควรจะทำเช่นไรดี”
โจวอี๋เหนียงมองดูบุตรสาวข้างกายที่ก้มหน้าไม่พูดจา หลี่เสวียนเอ๋อร์ปีนี้อายุสิบสี่สิบห้าปี หน้าตางดงามมาก
เมื่อเลื่อนสายตากลับอย่างช้าๆ แล้ว โจวอี๋เหนียงจึงพูดอย่างอ่อนโยนว่า “สกุลเสิ่นยังคงเป็นตระกูลขุนนางใหญ่ แม้คุณชายรองเสิ่นจะรักษาสัญญาแต่งคุณหนูรองเข้าบ้าน แต่ถ้าคุณหนูรองไม่หายเสียที รับรองได้ยากว่าคุณชายรองเสิ่นจะไม่รับอนุเข้ามาเพิ่ม ถ้าอนุมีนิสัยดีก็พอว่า คงไม่ร้ายกาจต่อคุณหนูรอง แต่ถ้าเป็นคนมีนิสัยโหดร้าย…เรื่องสกปรกในเรือนหลังบ้านคนอื่นมีน้อยเสียเมื่อใด อย่างไรเสียใช่ว่าตระกูลใหญ่ทุกบ้านจะเป็นเหมือนสกุลหลี่ของเราที่รักใคร่ปรองดองกัน…”