ทว่าพอบังเอิญหันหน้าไป เขาก็มองเห็นใบหน้างดงามน่ารักนั้นทันที นางกำลังยืนพาดหน้าต่างเหม่อมองมาที่เขา ความกลัดกลุ้มในใจเขาพลันสลายหายไปในทันใด
ก็แค่คนสมองเสื่อมผู้หนึ่ง จะไปงัดข้ออะไรกับนาง
เมื่อหาข้ออ้างเหมาะสมได้แล้ว เขาก็ทรยศปณิธานที่จะไม่สนใจในตอนแรกไปอย่างสบายใจ ก่อนจะก้าวขึ้นบันได ผลักเปิดประตูและมาถึงตรงหน้านาง
ภายใต้แสงจันทร์ นางย่อตัวนั่งอยู่ข้างหน้าต่าง ขดตัวเป็นก้อนกลมเล็กๆ ราวกับเป็นเด็กน้อยที่น่าสงสารไม่มีผู้ใดสนใจ
ฉู่จิ้งเฟิงหลุบตาลงมองอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็สะกดความคิดอยากจะดึงนางเข้ามาในอ้อมกอดเอาไว้ได้
ตอนนี้นางเป็นคนสมองเสื่อมไปแล้ว แต่เขายังไม่ลืมคำพูดของนางในตอนที่นางยังมีสติครบถ้วนสมบูรณ์ดี
คืนนั้นเป็นคืนจันทร์สว่างไร้ดวงดาวแบบนี้เช่นกัน ฉู่จิ้งเฟิงนั่งอยู่ในศาลายาว มือถือถ้วยหยกใส่สุรารสเลิศ เขายังไม่ทันเอ่ยปาก นางก็รู้ตัวชิงพูดขึ้นก่อน พูดเป็นนัยว่าตนเองใกล้จะแต่งงานแล้ว อีกไม่กี่วันต้องเดินทางกลับบ้าน งานที่เหลือสามารถไปขอให้พ่อบ้านสกุลหลี่ที่อยู่ทางเหนือจัดการได้
การปฏิเสธของนางก็เหมือนวิธีการทำงานของนาง หมดจดปราดเปรียวและไม่เสียมารยาท ในคืนนั้น เขาที่ได้ฉายาพันจอกไม่เมาหลังจากกลับเข้าค่ายแล้ว เป็นครั้งแรกที่ดื่มจนเมามาย ความรักในคราแรกนี้ ยังไม่ทันเริ่มต้นก็ถูกปฏิเสธเสียแล้ว เขารู้ดีว่าชาตินี้ไม่มีวาสนากับนางอีก เพราะศักดิ์ศรีของเขาฉู่จิ้งเฟิงจะไม่ยอมให้ตนเองไปรักหญิงที่มีสามีเด็ดขาด
หญิงสาวน่ารังเกียจผู้นี้กุมจุดอ่อนของเขาไว้จึงได้โอหังเช่นนี้ บังอาจทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายเช่นนี้ วันนี้นางสมองเสื่อมจนถึงขั้นนี้ นับว่าเป็นกรรมคอยตามสนองนางอย่างเงียบๆ แล้ว
เมื่อคิดเช่นนี้ ความสงสารแต่เดิมของเขาที่ถูกความน่าสงสารของนางกระตุ้นให้เกิดขึ้นก็สลายหายไปจนหมด
ฉู่จิ้งเฟิงหมุนตัวจะเดินจากไป แต่พบว่าชายเสื้อของตนเองถูกกระชากไว้ เขาจึงก้มลงดูก็พบว่ามือข้างหนึ่งของนางดึงชายเสื้อเขาไว้พลางกะพริบดวงตาโตที่มีน้ำตาเอ่อ “ปวดท้อง…” พูดจบก็ขยับเข้ามาซบอิงข้างขาของเขา ตัวสั่นอย่างเจ็บปวด…
ที่แท้สองวันมานี้นางไม่ได้กินอาหารดีๆ เลย มีเพียงเมื่อกลางวันนี้กินเนื้อกระต่ายเสียบไม้ที่มันเลี่ยน กอปรกับภายหลังฉู่จิ้งเฟิงเก็บผลไม้ป่ามาให้นาง กินปะปนกันเช่นนี้จึงทำให้มวนท้อง หลี่รั่วอวี๋รอนแรมทำการค้านอกบ้านเป็นประจำจึงเป็นโรคกระเพาะตั้งแต่อายุยังน้อย หลายวันมานี้อาหารสามมื้อไม่ได้กินตามเวลา อาการปวดท้องจึงกำเริบอีกครั้ง
แต่ตอนนี้ความคิดของนางแปรเปลี่ยนไปเหมือนเด็ก จึงแยกไม่ออกถึงความแตกต่างระหว่างปวดกระเพาะกับปวดท้อง จึงเหมารวมว่าเป็นอาการปวดท้อง
ฉู่จิ้งเฟิงขมวดคิ้วยกตัวนางขึ้นด้วยมือเดียว เห็นตำแหน่งที่มือของนางกุมไว้ เพียงเห็นก็รู้ว่าอาการปวดกระเพาะของนางกำเริบอีกแล้ว
เขาขมวดคิ้วแน่นพลางอุ้มนางไปวางลงบนเตียงดีๆ แล้วตามท่านหมอมาตรวจชีพจร เขียนใบสั่งยาให้นาง หลี่รั่วอวี๋จับคอเสื้อของฉู่จิ้งเฟิงแน่นไม่ยอมปล่อย
อาหารบนโต๊ะที่ทิ้งไว้จนเย็นชืดถูกยกออกไปหมดแล้ว ไม่ต้องให้ท่านซือหม่าเอ่ยปาก กวนป้าก็เข้าใจความประสงค์ สั่งให้พ่อครัวของที่พักรับรองเคี่ยวข้าวต้มฟักทองซานเย่า ให้ทันที
เห็นแก่นางที่ป่วยจนเหมือนดอกไม้เหี่ยวเฉา และยังเกาะเขาไม่ยอมปล่อย ฉู่จิ้งเฟิงจึงกล่อมให้นางกินข้าวต้มหมดไปครึ่งชามอย่างอดทน
ท่านหมอส่งยาที่เคี่ยวเสร็จแล้วมาให้ แต่ยาน้ำนี้รสชาติขมมาก หลี่รั่วอวี๋แลบลิ้นไปแตะเล็กน้อยก็ไม่ยอมกินแล้ว แม้แต่มือที่จับเขาไว้แน่นก็ยังคลายออก ใช้ประโยชน์จนหมดแล้ว ก็อยากให้เขาหายตัวไปทันใด