คิดไม่ถึงว่าตอนใกล้เที่ยง พ่อบ้านที่ออกไปทำธุระนอกเมืองกลับรีบร้อนกลับมา บอกว่าเห็นคุณชายรองเสิ่นกับคุณหนูสามที่นอกเมือง ตอนที่เขาเข้าไปใกล้ก็ได้ยินคุณชายรองเสิ่นพูดกับคุณหนูสามว่าคุณหนูรองหายตัวไป ดังนั้นจึงรีบร้อนกลับมารายงาน
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ได้ฟังก็ตกใจขวัญหาย รีบนำบ่าวไพร่ออกไปตามหานอกเมือง
ตอนที่เสิ่นหรูป๋อไล่ตามทันหลี่เสวียนเอ๋อร์ก็ตรวจสอบในรถม้าเป็นการใหญ่ กลับพบว่าด้านหลังตัวรถยุ่งเหยิง เดาว่าคุณหนูรองหลี่คงกระโดดลงจากรถไปแล้ว จึงเตรียมจะพาคนย้อนกลับไปค้นหาดู
ยามนั้นเองเขาก็เหลือบเห็นแผ่นหลังพ่อบ้านคฤหาสน์สกุลหลี่รีบรุดจากไป จึงรู้ว่าเรื่องวันนี้เกรงว่าคงจะมีคนรู้แล้ว แต่ในใจเขาเกิดความคิดหนึ่งขึ้น จึงปล่อยให้พ่อบ้านผู้นั้นไปแจ้งเรื่องราว
รอจนคนสกุลหลี่มาถึง เสิ่นหรูป๋อก็ได้รู้ข่าวจากปากผู้ช่วยนายอำเภอที่กลับเข้าเมืองมาว่าคุณหนูรองหลี่บุกเข้าไปในลานล่าสัตว์ถูกใต้เท้าซือหม่าพาตัวไปแล้ว
เรื่องนี้ทำให้เสิ่นหรูป๋อรู้สึกเคร่งเครียดยิ่ง เขาจึงสั่งให้คนไปสืบดูตลอดทาง จนมาถึงสถานที่ที่ฉู่ซือหม่าพักแรม
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เดินทางมาด้วยตนเอง ตลอดทางนางได้ฟังเรื่องราวของฉู่ซือหม่านั่นมาไม่น้อย วิธีการเลาะกระดูกต้มเนื้อที่ทำกับศัตรูทุกอย่าง ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ฟังจนหน้ามืด นางบีบขวดเม็ดโสมบำรุงเลือดลม ก่อนจะหยิบยาขนาดเท่าเม็ดน้ำตาลยัดใส่ปาก
ชาติกำเนิดของซือหม่าผู้นี้ไม่นับว่าต่ำต้อย ท่านปู่ของเขาที่ในอดีตเป็นหัวหน้าสำนักแพทย์หลวงถูกองค์หญิงฉางเล่อหมายตารับเป็นราชบุตรเขย จะนับไปแล้วก็เป็นพระญาติแท้จริงของต้าฉู่เช่นกัน ถึงแม้ราชวงศ์ต้าฉู่วันนี้จะมีอำนาจลดลง แต่สกุลฉู่มีฉู่จิ้งเฟิงที่เป็นท่านอ๋องบนหลังม้า ในมือกุมอำนาจทหารอย่างแท้จริงเอาไว้ และยังมีเขตอำนาจที่ห่างไกลจากเมืองหลวง จึงนับว่ามีอำนาจไม่ยิ่งหย่อนเลยจริงๆ
ตามหลักแล้ว พระญาติพระวงศ์เช่นนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องใดกับชาวเมืองเล็กๆ แถบเจียงหนานอย่างสกุลหลี่ของพวกเขาเลย แต่หลี่รั่วอวี๋กลับไปล่วงเกินซือหม่าผู้นี้ ตอนนี้สมองเสื่อมแล้วไปตกอยู่ในกำมือของเขา… เรื่องนี้…เรื่องนี้หากไปถึงช้าไป หลี่รั่วอวี๋ไม่ถูกซือหม่าบดกระดูกแหลกเป็นผุยผงไปแล้วหรือ!
เมื่อคิดเช่นนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ก็ทนไม่ไหว นึกโทษเสิ่นหรูป๋อที่อยู่ข้างกายว่าดูแลหลี่รั่วอวี๋อย่างไรกัน เหตุใดจึงปล่อยให้นางหนีหายไปได้
รอจนไปถึงกลางภูเขา ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ร้อนใจจึงยืนขึ้นบนรถม้า และเหลือบเห็นเงาร่างของบุตรสาวได้แต่ไกล…
เห็นบุตรสาวนั่งอยู่บนเนินเขาที่มีดอกไม้บานสะพรั่ง ในมือถือมาลัยดอกไม้ที่เพิ่งทำเสร็จ นางแย้มยิ้มสดใสก่อนจะสวมมันลงบนหัวชายหนุ่มหล่อเหลาผมขาวเงินร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งที่นั่งอยู่ข้างกายนาง…
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ยืนต่อไปไม่ไหว ทรุดนั่งลงบนแผ่นไม้ในรถม้าทันที นางรู้สึกใจคอไม่ดี มองไปทางว่าที่ลูกเขยข้างกายที่มีสีหน้ากลัดกลุ้มเช่นเดียวกัน ในใจก็เกิดความละอายขึ้นมาบ้าง
บุตรสาวโง่งมของข้า เจ้า… เจ้าไปทำท่าทางสนิทสนมกับชายอื่นเช่นนี้ได้อย่างไร
แต่นอกเหนือความอึดอัดใจแล้ว นางรู้สึกวางใจลงได้ อย่างน้อยบุตรสาวก็นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างครบสามสิบสอง ทว่าชายหนุ่มผมขาวข้างกายนางเป็นผู้ใดกัน คิดถึงตรงนี้นางก็สั่นไปทั่วร่าง นึกถึงเรื่องที่พ่อบ้านเคยเล่าให้ฟัง เขาเคยเห็นหน้าตาของฉู่ซือหม่าตอนที่เข้าเมือง เป็นชายหนุ่มที่มีผมสีขาวเงินเต็มหัว… เช่นนั้นผู้ที่นั่งอยู่ข้างกายบุตรสาว หรือว่าจะเป็น…
ในตอนนี้เอง รถม้าของสกุลหลี่ก็ถูกผู้ใต้บัญชาของฉู่จิ้งเฟิงขวางไว้แต่ไกล “หยุดนะ! พวกเจ้าเป็นผู้ใด”
หลังจากเสิ่นหรูป๋อบอกฐานะและจุดประสงค์การมาของตนเองแล้ว องครักษ์เหล่านั้นกลับยังไม่ปล่อยรถม้า
“ใต้เท้าซือหม่าของพวกเรามาท่องเที่ยวล่าสัตว์ที่นี่ ท่านกลับกล้ามาทำลายความสนุก ยังไม่รีบกลับไปอีกหรือ!”
ยามนั้นเอง หลี่รั่วอวี๋ที่มองเห็นท่านแม่ของตนเองแต่ไกลยืนขึ้นอย่างดีใจ ก่อนจะยกแขนโบกมืองามมาทางพวกเขาอย่างมีความสุข
ฉู่จิ้งเฟิงหยิบมาลัยดอกไม้ออกจากหัวโยนไปด้านข้างอย่างเหยียดหยาม แล้วหันหน้าไปทางชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนหลังม้านั่น
คุณชายรองสกุลเสิ่น… รูปโฉมก็ไม่เท่าใด ได้ยินว่าเขากับหลี่รั่วอวี๋หมั้นหมายกันนานแล้ว และเป็นแขนซ้ายขวาให้แก่หลี่รั่วอวี๋ในสนามการค้า… คงจะมีความรักมั่นคงต่อกันมากกระมัง!
คิดถึงตรงนี้ เขากลับนึกถึงรสจูบในกระโจมเมื่อครู่ นางไม่มีความกระดากอายของหญิงสาวเลย ริมฝีปากที่ชำนาญนั้นราวกับกำลังลิ้มอาหารรสเลิศ นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะฝึกฝนให้ชำนาญได้ภายในวันเดียว
หรือว่านางกับว่าที่สามีของนาง...