ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่มองหน้าเสิ่นหรูป๋อเช่นกัน หวังว่าเขาจะเอ่ยปากโต้แย้งฉู่ซือหม่า อย่างน้อยก็รับผิดชอบไปก่อน ให้ฉู่ซือหม่าปล่อยหลี่รั่วอวี๋ กลับไปค่อยตรวจสอบหาสาเหตุอย่างละเอียด
แต่ว่าที่ลูกเขยของนางแม้จะขมวดคิ้วแน่น แต่กลับปิดปากไม่พูดจา ปล่อยให้ทหารเหล่านั้นลากตัวหลี่รั่วอวี๋ที่ตื่นตกใจไปข้างรถม้าอย่างกักขฬะ จากนั้นฉู่จิ้งเฟิงก็หมุนตัวขึ้นม้า และกองกำลังกลุ่มใหญ่ก็จากไปอย่างรวดเร็ว
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เห็นบุตรสาวถูกทำรุนแรง หัวใจก็เริ่มร้อนรน ทำได้เพียงร้องไห้พูดกับเสิ่นหรูป๋อว่า “รั่วอวี๋ไม่มีทางขนส่งของต้องห้ามแน่นอน เจ้าต้องช่วยรั่วอวี๋”
เสิ่นหรูป๋อไม่มีแก่ใจจะปลอบฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ หลังจากรีบรับปากแล้วก็รีบร้อนขี่ม้าไปพบเว่ยกงกงที่จวนสิ่งทอ เว่ยกงกงผู้นี้ก็คือเส้นสายที่พระมาตุลาไป๋จัดวางไว้ในเจียงหนาน ตอนนี้ทำได้เพียงไปปรึกษาแผนรับมือกับเขาแล้ว
ทางด้านฉู่ซือหม่านับว่าสมดังใจ นำตัวหลี่รั่วอวี๋กลับมาได้ครบสามสิบสอง
เมื่อไปถึงที่พักรับรองแล้ว เขายังไม่ลงจากม้า ก็เป็นกวนป้าสั่งให้ทหารส่งรถม้าที่คุมขังหลี่รั่วอวี๋เอาไว้ออกไป แล้วจึงส่งเสียงพูดว่า “เตรียมจะไปที่ใดหรือ”
กวนป้าตอบอย่างสงสัย “ส่งไปยังคุกที่ว่าการอำเภออย่างไรเล่าขอรับ… ทำไมหรือ นายท่านมีคำสั่งอื่นหรือขอรับ”
ฉู่จิ้งเฟิงนิ่งเงียบไปชั่วครู่จึงเอ่ยขึ้น “นักโทษหญิงโทษหนักอย่างนี้ รับรองได้ยากว่าจะไม่มีเรื่องการปล้นคุก คุกในอำเภอเล็กแบบนี้ไม่ค่อยแข็งแรง สู้คุมตัวนางไว้ที่ที่พักรับรองนี่ชั่วคราวก่อนดีกว่า”
ซือหม่าพูดแล้ว กวนป้าไม่มีเหตุผลจะไม่เชื่อฟัง เขาจึงพยักหน้ารับคำทันที จากนั้นก็สั่งให้ทหารนำตัวหลี่รั่วอวี๋ลงมาจากรถม้า คุมตัวเข้าไปในห้องเก็บฟืนของที่พักรับรอง
ฉู่จิ้งเฟิงเดิมก็ไม่ชอบพูดมาก ทว่าเหลือบเห็นเชือกเหมือนจะมัดแน่นจนเกินไป ทำให้ข้อมือคู่งามและผิวขาวนวลที่เห็นแล้วต้องหลงใหลนั้นเกิดเป็นรอยแดง อีกทั้งหลี่รั่วอวี๋ก็ร้องไห้ตลอดทางจนดวงตาโตบวมแดง สะอื้นอย่างควบคุมตนเองไม่ได้ แม้จะเป็นคนที่ใจร้ายเห็นแล้วยังต้องใจสั่น เขาจึงเลิกคิ้วขึ้นพลางพูดด้วยเสียงเย็นชาว่า “คนเลวคนใดเป็นคนมัดเชือก แค่หญิงสาวที่อ่อนแอไร้แรงสู้ เหตุใดต้องใช้แรงมากอย่างนี้ด้วย!”
ทหารผู้หนึ่งคุกเข่าลงรับผิดทันที “เรียนซือหม่า ข้าน้อยเองขอรับ…”
ฉู่จิ้งเฟิงปกตินับว่าดีต่อผู้ใต้บัญชา แต่วันนี้กลับทำหน้าตาดุร้าย “กินจนจุกเกินไป ไม่มีที่ให้ออกแรงแล้วหรือไร เช่นนั้นวันนี้ไม่ต้องกินอาหารเย็นแล้วกระมัง”
กวนป้าฟังอยู่ด้านข้างก็ตกใจ สะดุ้งขนลุกขึ้นมาแล้วรีบพูดว่า “ยังไม่รีบไปแก้มัดแล้วไปรับความผิดอีก!” ตำหนิทหารที่ไม่รู้จักอ่านสีหน้าแล้ว กวนป้าก็หันมาขอความเห็นจากอีกฝ่าย “นายท่าน นักโทษหญิงผู้นี้เป็นนักโทษร้ายแรง ขังในห้องเก็บฟืนไม่มีคนไว้ใจได้คอยดูแลคงไม่เหมาะสม บ่าวขอคุมตัวนางไปห้องที่อยู่ข้างนายท่านดีหรือไม่ ถ้ามีความเคลื่อนไหวอะไร นายท่านต้องรู้ตัวแน่นอน จะได้ทำการป้องกันก่อนที่เหตุร้ายจะเกิดขึ้น…”
ทหารด้านข้างที่ไม่ได้กินอาหารน้ำตาแทบไหล สัมผัสได้ถึงความแตกต่างราวฟ้ากับดินระหว่างแม่ทัพกวนกับตนเองอีกครั้ง การสังเกตคำพูดและสีหน้าเช่นนี้ฝึกฝนหลายปีก็ยังเรียนรู้ไม่ได้จริงๆ
ฉู่จิ้งเฟิงได้ฟังก็พยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง จากนั้นก็ก้าวยาวเข้าที่พักรับรองไป