หลี่รั่วอวี๋ถูกลากตัวเข้าไปในห้องสะอาดสะอ้านเรียบร้อยห้องหนึ่ง
นางไม่รู้ว่าท่านแม่เห็นนางแล้วเหตุใดจึงไม่พากลับบ้านไปด้วย แต่รู้อย่างแน่ชัดว่าชายหนุ่มผมขาวเป็นคนเลวที่สุด ก่อนหน้านี้ยังพานางไปจับไก่ป่า เด็ดดอกไม้ป่าอยู่เลย ถึงขั้นลอยตัวขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่เด็ดผลไม้ป่าอร่อยมากลงมาให้นางกิน ปลอบจนนางกลับมาหัวเราะได้อีกครั้ง รู้สึกว่าเขาเป็นคนดีผู้หนึ่ง นางจึงตั้งใจทำมาลัยดอกไม้ให้เขา ไม่คิดว่าชั่วขณะต่อมาเขาจะปล่อยให้คนเลวมารังแกนาง
ยามนี้ตรงประตูมีชายฉกรรจ์หน้าตาน่ากลัวเฝ้าประตูสองคน ยื่นหน้ามองจากหน้าต่างเป็นอาคารสูงสามชั้น โอกาสที่นางจะหลบหนีเลือนรางมาก อารมณ์ของหลี่รั่วอวี๋ก็ยิ่งหดหู่…
นางสะบัดรองเท้าออกแล้วนอนขดตัวอยู่บนเตียง ยื่นหน้าออกมาจากผ้าห่มมองดูดวงจันทร์ที่ลอยเด่น รูปร่างกลมๆ นั้นเหมือนขนมแป้งงาจี่ที่แม่ครัวที่บ้านทำให้… ไม่นานก็มีสาวใช้มาส่งอาหาร ได้กลิ่นหอมแล้วน่ากินมาก แต่หลี่รั่วอวี๋ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่กินอาหารของคนเลว ไม่ว่าสาวใช้นั้นจะเกลี้ยกล่อมอย่างไรก็ยังไม่ยอมขยับ
สาวใช้เกลี้ยกล่อมไม่ไหว จึงวางอาหารลงแล้วหมุนตัวเดินออกไป
ต่อมาในห้องก็เงียบสงบลงอีกครั้ง ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ลานด้านล่างนอกหน้าต่างดูเหมือนจะมีเสียงดังสวบๆ หลี่รั่วอวี๋จึงยื่นหน้าออกมาจากผ้าห่ม ในที่สุดก็ลงจากเตียงอย่างทนไม่ไหว ก่อนจะยืนอยู่ข้างหน้าต่างมองลงไปและเห็นชายหนุ่มผมขาวสวมเสื้อตัวยาวโคร่งยืนอยู่ในลานด้านหลัง มือถือกระบี่ฝึกวรยุทธ์อยู่ใต้แสงจันทร์
ร่างของเขาเบาพลิ้วแต่แข็งแรง เสื้อตัวยาวขยับไปตามการเคลื่อนไหวของคมกระบี่ ดูราวกับเทพเซียนเหาะเหิน ทำให้คนเห็นไม่อาจละสายตาได้…
หลี่รั่วอวี๋ดูจนเพลิน ลืมความคิดในตอนแรกที่ตัดสินใจว่าจะไม่มองหน้าคนเลวผู้นี้อีก สุดท้ายก็พาดตัวไปบนหน้าต่างแคบ วางหน้าบนแขนแล้วก้มลงมองข้างล่าง ทันใดนั้นก็เห็นเขาแตะปลายเท้าบนพื้น หมุนตัวมามองทางนางอย่างรวดเร็ว ประสานสายตากับนางเข้าพอดี
หลี่รั่วอวี๋รู้สึกเสียหน้าขึ้นมาทันที รู้ตัวว่าทรยศปณิธานในตอนแรกของตนเองแล้ว จึงรีบย่อตัวลงแกล้งทำเป็นไม่ได้แอบมองเขา
ไม่นานก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากทางบันได เพียงชั่วครู่ประตูก็ถูกเปิดออกและได้กลิ่นหอมสดชื่นของสมุนไพรลอยมาแตะจมูก ก่อนที่รองเท้าหนังวัวคู่หนึ่งจะมาปรากฏต่อหน้านาง
ตอนที่ฉู่จิ้งเฟิงได้ยินว่าหลี่รั่วอวี๋ไม่ยอมกินอาหารก็ตัดสินใจจะไม่สนใจนาง ความใจอ่อนของตนเองได้ใช้ไปจนหมดแล้วเมื่อกลางวัน หากนางอยากจะงอนเป็นเด็กๆ ก็ปล่อยให้นางหิวไปสักสองสามมื้อ ถึงตอนนั้นนางย่อมยอมกินแต่โดยดีเอง
แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เมื่อถึงเวลาอาหารเย็นเขากลับกลืนอาหารไม่ลง อยู่ต่อหน้าเนื้อผัดพริกแห้งและน้ำแกงเนื้อเป็ดแปดทรัพย์ที่พ่อครัวบรรจงทำกลับหมดความอยากอาหารไปเสียอย่างนั้น
สุดท้ายเขาจึงถือกระบี่มากลางลานระบายความกลัดกลุ้มในใจ
ตามที่เขาเห็น ถึงแม้นางจะไม่ได้หัวร้างข้างแตก แต่ก็กลายเป็นคนตาบอดใจบอด ว่าที่สามีที่ไม่เอาไหนของนางนั้น ความทะเยอทะยานและแผนร้ายในดวงตานั้นไม่อ่อนด้อยไปกว่าพวกที่โชกโชนอยู่ในสนามขุนนางมานานหลายปีเลย
ที่มาที่ไปของของต้องห้ามหลายลำเรือนั้นไม่ต้องตรวจสอบเขาก็พอจะเดาเรื่องราวได้อย่างชัดเจน เดิมทีไม่อยากสนใจเรื่องเลวร้ายของสกุลไป๋ แต่ตอนเห็นคนแซ่เสิ่นนั้นใช้สายตาเหมือนตรวจสอบสิ่งของของตนเองมองดูนางสมองเสื่อมผู้นี้แล้ว เขาก็รู้สึกโกรธจนแน่นอก จึงเพียงพูดเพื่อสร้างความลำบากใจให้