วั่นจื่อเหลียงอายุเท่ากับฉู่จิ้งเฟิง เป็นจ้วงหยวน อันดับหนึ่งในรัชศกเทียนเอิน เขามีชาติกำเนิดธรรมดา ไม่หลงใหลลาภยศ หลังจากรู้ความเหลวแหลกของขุนนางในเมืองหลวงและความเหิมเกริมของสกุลไป๋แล้ว เป็นขุนนางได้หนึ่งปีก็ลาออกกลับบ้านเกิดมา
เขากับฉู่จิ้งเฟิงเป็นสหายในหอเรียนเดียวกัน ทั้งสองแม้จะไม่ค่อยพบปะพูดคุยกัน แต่การเป็นสหายไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา มิตรภาพนั้นไม่เคยจืดจาง
ภรรยาของเขาเป็นหลานสาวของกงซุนมู่อดีตอัครเสนาบดี เป็นคนมีใจกว้าง ไม่เคยก้าวก่ายการเป็นขุนนางของสามี สองสามีภรรยาเที่ยวชมธรรมชาติในเมืองวั่นโจวด้วยกันอย่างดี
สหายจากกันไปนาน ย่อมต้องดื่มสุราฉลอง แต่ครั้งนี้วั่นจื่อเหลียงพบว่าฉู่จิ้งเฟิงเอาแต่เหม่อราวกับจิตใจไม่อยู่กับตัว เขารู้ว่าสหายสนิทที่เย็นชาต่อสตรีมาตลอดผู้นี้แต่งกับสาวงามผู้หนึ่งจึงพูดออกมาว่า “ซือหม่ามาครั้งนี้ เหตุใดจึงไม่พาฮูหยินที่เพิ่งแต่งงานมาด้วยเล่า จะได้พูดคุยแก้เบื่อกับภรรยาข้า”
ฉู่จิ้งเฟิงกลับยิ้มเศร้าบางๆ ส่ายหน้าไม่อยากพูดอะไรมาก
วั่นจื่อเหลียงเป็นคนง่ายๆ เห็นฉู่จิ้งเฟิงเหมือนอยากจะรีบกลับก็ไม่ได้ดึงตัวเอาไว้
ฉู่จิ้งเฟิงดื่มสุราฉลองแล้วก็ขี่ม้าจากคฤหาสน์สกุลวั่นกลับมาที่เรือ ตลอดทางล้วนมีหญิงสาวมาเดินตลาดเทศกาลฉีเฉี่ยว แต่ละคนยิ้มอย่างเบิกบาน เมื่อคิดถึงหญิงสาวบนเรือที่เอาแต่ใจอยู่นิ่งไม่ยอมกินข้าว เขาก็รู้สึกเคร่งเครียด
ตอนผ่านตลาดเทศกาลฉีเฉี่ยว เห็นแผงขายของแผงหนึ่งขายตุ๊กตาผ้าที่ให้เด็กเล่น หญิงชราผู้หนึ่งนั่งเย็บอยู่หลังแผงนั้น
เขาลงจากม้าหน้าแผงนั้น เห็นผ้าที่ใช้ทำตุ๊กตาผ้าเป็นผ้าไหมอย่างดี นุ่นใช้ยัดก็เป็นนุ่นอย่างดีที่ผลิตจากเมืองฉีหลู่ สีขาวสะอาด จับดูแล้วนุ่มมาก ดังนั้นจึงเลือกตุ๊กตาเสือตัวใหญ่ตัวหนึ่ง เติมนุ่นเข้าไปอีกสองชั่ง ทำให้เสือตัวอ้วนกลม
รอหญิงชราผู้นั้นเย็บปิดเสร็จแล้ว ฉู่จิ้งเฟิงก็จ่ายเงินแล้วหนีบเอาเสือขนาดหมอนหนุนขึ้นหลังม้าอีกครั้ง
เมื่อวานเพราะเขาดุนางที่ทำชาพุทราหกใส่กระโปรงอีกแล้ว ทำให้หลี่รั่วอวี๋โกรธ กระชากฉีกตุ๊กตาผ้าที่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เย็บให้นางแล้วโยนลงบนพื้น เขาเห็นนางคลายโกรธแล้วก็หยิบตุ๊กตาผ้าที่นุ่นทะลักออกมาขึ้นมากอดแล้วลอบเช็ดน้ำตา
หลังจากนั้นแม้ซูซิ่วจะมีฝีมือดีเย็บตุ๊กตาผ้าอย่างดี แต่มันได้ขาดไปแล้ว รูปร่างจึงไม่ค่อยสวยงาม
เดินทั่วตลาดกลับถึงบนเรือเช่นนี้ สิ่งแรกที่เขาทำก็คือสอบถามซูซิ่วว่าฮูหยินกินอาหารเย็นหรือยัง ซูซิ่วตอบว่า “ฮูหยินเอาแต่อยู่ในห้องเรือ ไม่ยอมลุกขึ้น และไม่ได้กินอาหารเจ้าค่ะ”
ฉู่จิ้งเฟิงปั้นหน้าเครียด เดินไปทางดาดฟ้าห้องเรือ นั่งนิ่งรับลมอยู่สักครู่ จึงหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมา ดวงตาแม้จะเหลือบไปบนหนังสือ แต่ใจกลับครุ่นคิดว่าหลี่รั่วอวี๋มีนิสัยเป็นเด็ก ที่ผ่านมาเคยมีช่วงที่แง่งอนและไม่สนใจเขา แต่เพียงชั่วครู่ก็ลืม แล้วเล่นสนุกอย่างเบิกบานใจ ไม่เคยไม่ลดละเหมือนเช่นวันนี้มาก่อน
เสียงดังแปะ ฉู่จิ้งเฟิงโยนหนังสือลงบนโต๊ะ แล้วลุกขึ้นเดินไปที่ห้องนอน เพิ่งเดินเข้าห้อง หัวคิ้วของฉู่จิ้งเฟิงก็ขมวดขึ้นมา ภายในห้องมืดดำไม่มีแสงสว่างเลย เขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ไม่ทันรอเรียกให้ผู้ใดมาจุดไฟก็อาศัยแสงจันทร์เดินไปที่หน้าเตียง เห็นหลี่รั่วอวี๋นอนตะแคงอยู่บนเตียง ร่างขดเป็นก้อนกลม
ฉู่จิ้งเฟิงเรียกเสียงเบาสองที หลี่รั่วอวี๋แค่นเสียงสบถสองที แต่กลับไร้เรี่ยวแรง ฉู่จิ้งเฟิงยื่นมือไปแตะหน้าผากของหลี่รั่วอวี๋ สิ่งที่ส่งผ่านมาในมือคือความร้อน นี่นางกำลังมีไข้สูงไม่ใช่หรือ!
ฉู่จิ้งเฟิงหัวใจเย็นวูบ ตะโกนเรียกท่านหมอที่ติดตามขึ้นมาบนเรือทันที