ซูซิ่วกับหล่งเซียงก็ตกใจเช่นกัน ตอนฉู่จิ้งเฟิงตำหนิพวกนางสองคนว่าเหตุใดจึงไม่รู้ว่าฮูหยินป่วย ทั้งสองก็ไม่อาจโต้แย้งได้ จะให้พูดว่าก็ท่านเป็นคนสั่งเองว่า ‘อย่าเข้าห้องไปเกลี้ยกล่อมนาง รอให้นางหิวจัดก็จะลุกขึ้นมาเอง’ อะไรทำนองนี้ไม่ได้กระมัง
ท่านหมอตรวจชีพจรแล้วก็เขียนใบสั่งยาให้อย่างรวดเร็ว ตอนที่ฉู่จิ้งเฟิงสอบถามสาเหตุการป่วย ท่านหมอก็ตอบอย่างระวังตัวว่า “เรียนซือหม่า ฮูหยินกลัดกลุ้มในอก จากบ้านเกิดและคนทางบ้านมาก็เพิ่มความร้อนในตัวอยู่แล้ว ยังได้รับความเย็นจากลมแม่น้ำบนเรืออีก สาเหตุมารวมกัน จึงทำให้เลือดลมไม่ดีเข้ามาแทรก ทำให้ไม่อยากอาหาร เกิดอาการลุกลาม กินยาไม่กี่เทียบก็จะดีขึ้น… แต่ฮูหยินไม่เหมือนกับสตรีรุ่นราวคราวเดียวกัน บางครั้งในใจมีความกลัดกลุ้ม แต่ไม่รู้ว่าจะระบายให้ผู้ใดฟัง จะต้องใช้วิธีเกลี้ยกล่อม อย่าใช้ไม้แข็ง…”
ท่านหมอแม้จะพูดอ้อมค้อม แต่ฉู่จิ้งเฟิงฟังเข้าใจแล้ว
หลี่รั่วอวี๋แม้จะเป็นคนปัญญาอ่อน แต่หลังจากแต่งงานกับเขา การกินการสวมใส่ล้วนเปลี่ยนแปลงไปมาก แม้จะเป็นหญิงฉลาดเฉลียวก็ยังคงค่อยๆ ปรับตัว นับประสาอะไรกับนางที่ไม่รู้อะไรเลย รู้เพียงว่าท่านแม่ไม่ต้องการนางแล้ว จะไม่เกิดความอึดอัดใจได้อย่างไร
ยิ่งไปกว่านั้นหลายวันมานี้เขาเอาแต่ควบคุมนาง แม้แต่ความสุขในการกินเพียงอย่างเดียวก็ยังแย่งไปจนสิ้น ผลปรากฏว่าความร้อนรุ่มนี้ทำให้นางล้มป่วย คิดว่าเช้าวันนี้ก็ไม่สบายตัวแล้วกระมัง ดังนั้นจึงได้ไม่สนใจผู้ใด
แต่ตัวเขากลับออกไปดื่มสุราและกลับมาเพิ่งพบว่าหน้าผากของนางร้อนมาก
เพราะเร่งลดไข้ ยาที่ท่านหมอสั่งจึงเป็นยาน้ำที่ผสมไว้แล้ว แค่เพียงต้มให้เดือดก็ดื่มได้ทันที
หล่งเซียงยกยามา ตอนที่จะป้อนยาให้หลี่รั่วอวี๋กินอย่างระมัดระวัง ฉู่จิ้งเฟิงที่นั่งประคองตัวหลี่รั่วอวี๋อยู่ด้านข้าง เห็นหญิงสาวที่เป็นไข้หนักรับจอกยามาแล้วคว้าผ้าเช็ดหน้าที่วางอยู่ข้างหมอนด้วยมือที่สั่นเทา พยายามทำตามกฎระเบียบที่เพิ่งเรียนรู้มาไม่กี่วันนี้ยกผ้าขึ้นวางใต้คาง ยาจะได้ไม่ไหลหกใส่ตนเอง
แต่มือนั้นสั่นแรงมาก ทำยากระฉอกออกมาหลายหยด หลี่รั่วอวี๋ป่วยจนทรุดกอปรกับมียาน้ำหยดเปื้อนเต็มตัว ทำให้นางพูดออกมาเสียงแผ่วเบาเหมือนแมว “รั่วอวี๋… ไม่ได้ตั้งใจ… มือเอาแต่สั่น… รั่วอวี๋โง่เขลา…”
คำพูดนี้เหมือนเข็มแหลมแทงเข้าหัวใจของฉู่จิ้งเฟิง ผ้าที่นางถืออยู่ในมือก็ดูระคายตาอย่างมาก…
ฉู่จิ้งเฟิงพยายามสะกดความรู้สึกประหลาดในใจเอาไว้ ก่อนจะดึงผ้าที่อยู่ในมือนางมาแล้วโยนไปบนพื้น “เด็กดี พวกเราไม่ใช้ผ้านี้แล้ว ดื่มยาให้หมด”
เขาพูดพลางรับถ้วยยามาและป้อนยาที่เหลือด้วยตนเอง
ทว่าหลี่รั่วอวี๋ดื่มยาหมดแล้ว กลับยังวุ่นวายกับคราบยาบนอกเสื้อของตนเอง เอามือไปปัดไม่หยุด
ฉู่จิ้งเฟิงใช้มือใหญ่กุมมือของนางเอาไว้ อดใจไม่ไหวก้มลงจูบหน้าผากร้อนระอุของนางเบาๆ “ไม่เป็นไร กินยาแล้วอีกครู่ต้องให้เหงื่อออก ตอนนี้ยังเปลี่ยนเสื้อไม่ได้ มิเช่นนั้นจะถูกไอเย็น”
หลี่รั่วอวี๋ทั่วร่างไร้เรี่ยวแรง เห็นเขาไม่ดุนางเหมือนหลายวันก่อนจึงวางความกระวนกระวายใจลง พลิกมือจับมือใหญ่ของเขา เริ่มสะลึมสะลือเล็กน้อย
ตอนนี้ท่านแม่ไม่อยู่ข้างกาย มีเพียงพี่ฉู่ผู้นี้ที่พึ่งได้ ก่อนจากท่านแม่ได้กำชับนางว่าต้องเชื่อฟังอย่าทำให้สามีโกรธ เพราะต่อไปนี้นางต้องฝากชีวิตไว้กับสามีผู้นี้ กินอาหารเขาเป็นคนดูแล หากทำให้เขาโกรธ จะถูกไล่ออกไปกลางถนน…
นางเคยเห็นสภาพการแย่งอาหารของขอทานกับแมวหมา ต้องปาก้อนหินใส่หมาดุร้ายเหล่านั้น จึงจะแย่งหมั่นโถวเปื้อนฝุ่นครึ่งลูกมาได้ นางคิดว่าหมั่นโถวนั่นอาจจะไม่อร่อย ดังนั้นได้ฟังคำพูดของท่านแม่แล้ว ในใจนางก็เริ่มกลัว กลัวว่าตนเองจะทำให้พี่ฉู่ไม่พอใจขึ้นมาจริงๆ และต้องไปพเนจรกลางถนน
แต่จะทำอย่างไรไม่ให้พี่ฉู่ไม่ดุนางอีกเล่า ทำได้เพียงกินอาหารดีๆ ไม่ทำเสื้อเปื้อน แต่นางกลับทำได้ไม่ดี ทุกครั้งที่เห็นพี่ฉู่จ้องนาง นางก็ยิ่งร้อนใจจนจะขว้างปาของ… แต่นางไม่ได้อยากทำจริงๆ… นางหวังว่าพี่ฉู่จะยิ้มให้นาง…
คิดถึงตรงนี้ นางก็กุมมือใหญ่แน่นขึ้น ก่อนจะนอนหลับไป