เมื่อคำพูดนี้ออกมา หลี่เสวียนเอ๋อร์ก็หน้าซีดเผือดลงในทันที นางกัดริมฝีปากถลึงตาจ้องฉู่จิ้งเฟิง
เว่ยกงกงก็โกรธจนนิ้วสั่นพูดว่า “ท่าน… ท่าน…ซือหม่า ท่านต้องพูดด่าอย่างนี้เลยหรือ ปากเดียวพูดด่าถึงสองคน!”
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เองก็นั่งไม่ติด คิดเพียงว่าลูกเขยผู้เพียบพร้อมผู้นี้เหมือนไม่ได้มาหาทางคลี่คลายเรื่อง แต่ดูเหมือนมาหาเรื่องมากกว่า!
เสิ่นหรูป๋อไม่อยากจะมาพูดจาเล่นลิ้นกับฉู่จิ้งเฟิง เขาจึงถามว่า “แล้วตามความเห็นของฉู่ซือหม่า ควรจะพิสูจน์ความสามารถภรรยาข้าอย่างไร จึงจะทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ยอมอย่างเต็มใจ”
ฉู่จิ้งเฟิงเคาะโต๊ะแล้วอมยิ้มกล่าว “ข้ามีตัวเลือกอยู่ผู้หนึ่ง ไม่รู้ว่าคุณชายไป๋จะเห็นด้วยหรือไม่”
ไป๋ฉวนจงเลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ “ถ้ามีคุณสมบัติพอจะตัดสินว่าเรือดีหรือไม่ ข้าย่อมเห็นด้วยอยู่แล้ว ไม่ทราบว่าฉู่ซือหม่าพูดถึงผู้ใด”
“ผู้มีคุณสมบัติในการตัดสินยอดฝีมือที่สุด มีเพียงคนที่มีความสามารถเทียบเท่าศัตรู เช่นนั้นจะเชิญคุณชายเมิ่งมาเป็นคนตัดสินได้หรือไม่”
คำพูดของฉู่จิ้งเฟิงนี้ช่างเหนือความคาดหมายของทุกคนยิ่ง ทุกคนรู้เรื่องที่ตอนนี้เมิ่งเชียนจีทำงานให้กับสกุลไป๋ แต่ฉู่จิ้งเฟิงกลับเรียกคนผู้นี้มา ไม่เท่ากับยกก้อนหินทุ่มเท้าตนเองหรือ
แต่ในเมื่อเขาเสนอมาเช่นนี้ เสิ่นหรูป๋อกับไป๋ฉวนจงย่อมไม่มีความเห็นอื่นใด ดังนั้นทุกคนจึงย้ายไปที่อู่เรือ แล้วส่งคนไปเกลี้ยกล่อมเชิญเมิ่งเชียนจีที่เก็บตัวฝึกฝนออกมา
เมิ่งเชียนจีผู้นั้นไม่เจอกันไม่กี่วันหน้าตาเปลี่ยนไปมาก เดิมเป็นหนุ่มน้อยหน้าตาหมดจดขาวสะอาด ตอนนี้ผมเผ้ารุงรัง สองตาเห็นเส้นเลือดแดงก่ำ สวมรองเท้าลำลองมาพบหน้าทุกคน หากไม่ใช่เพราะได้ยินว่าจะได้พบหลี่รั่วอวี๋ เมิ่งเชียนจีผู้นี้ให้ตายก็ไม่ยอมเปิดประตู
ทว่าท่าทางน่าตกใจของเขานี้ ทำให้หลี่รั่วอวี๋ที่เดินทางมาด้วยซ่อนตัวอยู่หลังฉู่จิ้งเฟิงในทันที
หลังจากไป๋ฉวนจงอธิบายเรื่องราวให้เขาฟังแล้วก็พูดอย่างมีนัยว่า “คุณชายเมิ่ง ตอนนี้เสิ่นฮูหยินผู้นี้ได้เรียนรู้เคล็ดวิชาการต่อเรือของสกุลหลี่มา และยินดีจะภักดีต่อสกุลไป๋ของข้า หวังว่าอีกครู่คุณชายเมิ่งจะช่วยตรวจสอบอย่างละเอียด”
หากเป็นคนที่ผ่านโลกมามาก เพียงฟังก็เข้าใจความหมายในคำพูดของไป๋ฉวนจงแล้ว แต่น่าเสียดายสองเท้าเมิ่งเชียนจีไม่ได้แตะพื้นดินมากเท่าใด ได้ฟังคำพูดของไป๋ฉวนจงก็เพียงแค่มองสำรวจหลี่เสวียนเอ๋อร์ที่ท้องโย้อยู่พักใหญ่ แล้วถลึงตาใส่หลี่รั่วอวี๋ที่หลบอยู่ด้านหลังฉู่จิ้งเฟิง จากนั้นเดินไปตามขั้นบันไดที่สร้างไว้ในอู่เรือ ขึ้นไปบนเรือตะลุยน่านน้ำที่หลี่เสวียนเอ๋อร์ควบคุมการสร้าง
ถึงแม้เขาจะไม่เคยเรียนต่อเรือ แต่เพราะหลี่รั่วอวี๋ จึงได้ศึกษาผลงานของนางอย่างถ่องแท้ ถึงขั้นรู้เขารู้เรารบร้อยครั้งก็ไม่แพ้
แต่พอเขาขึ้นไปบนเรือตะลุยน่านน้ำที่ภายนอกสวยงามมีเอกลักษณ์เฉพาะนั้นและตรวจดูทั้งนอกใน รวมทั้งสั่งให้เปิดแผ่นกระดานเรือดูองค์ประกอบภายในแล้ว หัวคิ้วนั้นก็ยิ่งขมวดแน่น สุดท้ายไม่พูดอะไร ลงเรือจะเดินจากไป
ไป๋ฉวนจงย่อมต้องสั่งให้คนขวางเขาไว้ แล้วเอ่ยปากถาม “คุณชายเมิ่ง เจ้าหมายความว่าอย่างไร เรือนี้เป็นวิชามหัศจรรย์ของสกุลหลี่หรือไม่”
ฉู่จิ้งเฟิงก็พูดแทรกอย่างช้าๆ “นั่นสิ เรือนี้เทียบกับฝีมือของหลี่รั่วอวี๋ได้หรือไม่”
ได้ฟังคำพูดของฉู่จิ้งเฟิงแล้ว ดวงตาสีเลือดของเมิ่งเชียนจีเบิกกว้างในทันที จ้องฉู่จิ้งเฟิงราวกับมองคนบ้า เพราะไม่ได้เอ่ยปากพูดเป็นเวลานาน เสียงนั้นจึงแหบแห้งยิ่ง “ท่านตาบอดหรือ แค่ขยะกองหนึ่ง ดูแล้วเสียสายตาของข้า จะเทียบกับหลี่รั่วอวี๋ได้อย่างไร”
เมื่อคำพูดนี้กล่าวออกมา บรรดาช่างที่มามุงดูความคึกคักก็แตกฮือในทันที
พวกหลี่เสวียนเอ๋อร์หน้าเปลี่ยนสีในทันใด คุณชายไป๋พูดด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว “เมิ่งเชียนจี เจ้าหมายความว่าอย่างไร!”
เมิ่งเชียนจีอยากจะกลับไปเก็บตัวฝึกฝนต่อในห้อง จึงพูดอย่างหมดความอดทน “องค์ประกอบของเรือนั่นยังมีข้อบกพร่องใหญ่อยู่ข้างใน อย่าว่าแต่ตะลุยคลื่นเลย หกสิบลี้ก็ยังเคลื่อนออกไปไม่ถึง”
“เจ้าพูดเหลวไหล เรือนี้ทดลองเดินน้ำมาแล้ว จากเมืองเหลียวเฉิงเคลื่อนไปถึงเขาหวั่นซาน แล้วย้อนกลับมา ด้วยความเร็วเร็วเป็นพิเศษ!”
หลี่เสวียนเอ๋อร์โกรธจนสั่นไปทั้งตัว นางเกิดในสกุลต่อเรือ มีความคิดจะชิงดีชิงเด่นกับหลี่รั่วอวี๋มาตั้งแต่เด็ก เดินเข้าออกอู่เรือ ใช่ว่าจะไม่มีฝีมือทางเรือเลยแม้แต่น้อย กอปรกับได้ตำราการต่อเรือมา จึงมีความมั่นใจเป็นร้อยเท่า ถึงแม้เรือจะไม่ได้ออกมาจากอู่เรือสกุลหลี่ เรื่องคุณภาพย่อมบกพร่องไปบ้าง แต่จะแย่ถึงขั้นที่เมิ่งเชียนจีพูดเสียที่ไหน
เมิ่งเชียนจีได้ฟังคำพูดของหลี่เสวียนเอ๋อร์ก็ไม่ได้เหลือบตามอง นับนิ้วเหมือนหมอดูดวงชะตาแล้วพูดว่า “ข้าพูดผิดไปจริงๆ ถ้าตามที่เจ้าพูด ตอนนี้เรือลำนี้คงเคลื่อนไปได้ไม่ถึงหนึ่งลี้แล้ว”
ตอนนี้ชีวิตอันสงบของหลี่เสวียนเอ๋อร์อยู่ที่เคล็ดวิชาการต่อเรือนี้ นางร้อนใจอย่างมาก กลัวว่าไป๋ฉวนจงจะเชื่อคำพูดของคนบ้าแซ่เมิ่ง จึงเรียกคนงานเรือมาหลายคน ให้พวกเขาเอาเรือนี้ออกจากอู่เรือ ลองเคลื่อนไปบนน้ำดู
มุมการล่องน้ำของเรือน่าสนใจมาก ด้วยตัวเรือที่เบา คนงานเรือขับเคลื่อนไม่เท่าใดก็หันหัวเรือออกจากอู่เรือ ล่องไปบนผืนน้ำได้โดยง่าย
คนส่วนใหญ่ล้วนหลงใหลกับความเบาของเรือลำนี้ แต่เมิ่งเชียนจีกลับหลับตาลง ขมวดคิ้วฟังเสียงเบาบางที่ลอดออกมาจากในตัวเรือ