ฉู่จิ้งเฟิงดึงสายตากลับโดยไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น ก้มหน้าลงพบว่าหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างกายตนเอง หลับตาลงอย่างไม่รู้ตัวเช่นกัน นางเงี่ยหูเหมือนฟังอะไรอยู่ ท่ามกลางสายลมเย็นจากแม่น้ำ ร่างบอบบางนั้นไหวเบาๆ
หญิงสาวผู้นี้จมอยู่กับวิชาการต่อเรือมาตั้งแต่เด็ก ก็เหมือนที่นางเคยพูดเอาไว้ สิ่งที่ผู้ฝึกระดับสูงฝึกคือ ‘จิตวิญญาณ’ ในกระดูกของหญิงสาวราวกับสลักความรักของการต่อเรือนี้เอาไว้รวมถึงทั้งชีวิตของนาง แม้สมองจะกระเทือนจนเสียหายไป แต่พอเข้ามาในอู่เรือ นางยังทำกิริยาที่เคยทำเป็นพันหมื่นครั้งตามสัญชาตญาณ
หลี่รั่วอวี๋ที่เป็นแบบนั้นเหมือนจะติดปีก ชั่วขณะต่อมาก็จะหนีเขาไปไกล เขาจึงขยับรัดแขนแน่น ตัดบทความคิดของหญิงสาว ในตอนนี้เองหลี่รั่วอวี๋ก็ลืมตาแล้วชูมือขึ้นอย่างยินดี ปากเล็กเผยอขึ้น ส่งเสียง “ฉึบๆ” ออกมา
ท่ามกลางเสียงยินดีของนาง เรือตะลุยน่านน้ำที่แล่นไปได้ไม่ไกลก็แตกออก ส่งเสียงดังสนั่น จากนั้นก็เริ่มจม!
หลี่เสวียนเอ๋อร์ไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง สองมือของนางลูบท้องแล้วพูดพึมพำ “เป็นไปได้อย่างไร เป็นแบบนี้ได้อย่างไร”
นางเหมือนคิดอะไรขึ้นได้ จึงรีบพูดว่า “เรือจอดอยู่ในอู่เรือนี้… ต้องมี…ต้องมีผู้ใดลงมือทำอะไรกับเรือแน่นอน!”
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่กำลังสั่งให้คนเรือในอู่เรือเอาเรือเร็วไปช่วยคนงานที่ตกน้ำขึ้นมา ได้ฟังคำพูดนี้แล้วก็เลิกคิ้วขึ้น พูดอย่างร้อนใจว่า “ผู้ใดอยากจะไปแตะต้องเรือบอบบางของเจ้าล่ะ ตอนนี้คนงานบนเรือเหล่านั้นถ้าถูกช่วยออกมาได้หมดก็แล้วไป แต่ถ้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมาข้าจะไปเอาเรื่องที่สกุลเสิ่น”
ในตอนนี้เรือที่ออกไปช่วยคนกลับมาแล้ว โชคดีที่คนงานเหล่านี้ว่ายน้ำเป็น นอกจากที่บางคนได้รับบาดเจ็บแล้วก็ไม่มีอะไรร้ายแรงถึงชีวิต
ฉู่จิ้งเฟิงพูดอย่างไม่รีบไม่ร้อน “อยากรู้ว่ามีคนแตะต้องเรือหรือไม่ไม่ยิ่งง่ายหรือ ขอเสิ่นฮูหยินเอาภาพเรือตะลุยน่านน้ำนี้ให้คุณชายเมิ่งตรวจดูก็ได้แล้ว”
เรื่องมาถึงขั้นนี้ เห็นสายตาไม่กระจ่างชัดของไป๋ฉวนจงแล้ว หลี่เสวียนเอ๋อร์ก็รู้ว่าจะได้ความเชื่อใจจากสกุลไป๋นั้นไม่ง่ายอีกต่อไป นางเชื่อมั่นว่าภาพวาดในความทรงจำของตนเองไม่ผิดพลาด จึงสั่งให้คนเอากระดาษพู่กันมาแล้วรีบวาดอย่างชำนาญ
เมิ่งเชียนจีรออย่างเบื่อหน่าย ทนไม่ไหวจึงเดินไปตรงหน้าหลี่รั่วอวี๋อยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ยังไม่ทันเข้าใกล้ก็ถูกองครักษ์ขวางเอาไว้
เมิ่งเชียนจีเดิมก็สงสัยเรื่องที่หลี่รั่วอวี๋ตกม้าสมองกระทบกระเทือน เสียง “ฉึบๆ” ของหญิงสาวเมื่อครู่ เขาก็ได้ยินเช่นกัน ในใจก็ยิ่งเกิดความสงสัยมากขึ้น
ในตอนที่หลี่เสวียนเอ๋อร์วาดภาพเรือนั้นเสร็จแล้วยื่นให้เมิ่งเชียนจี เมิ่งเชียนจีก็เข้าใจในทันที ลอบคิดในใจว่า หรือว่านางตั้งใจจะทดสอบข้า!
หลายปีก่อนหน้านี้ เขาเคยเกิดทะเลาะเบาะแว้งกับหลี่รั่วอวี๋เรื่องการปรับเปลี่ยนเรือ แต่ตอนนั้นนางพูดเยาะหยันที่เขาเป็นคนไม่รู้เรื่องการต่อเรือ
วันนี้ต้องแสดงความสามารถให้นางได้รู้ เขาเมิ่งเชียนจีต่อให้เป็นวิชาการต่อเรือก็ไม่ยอมแพ้ผู้ใด
“ถ้าคิดจะทดสอบข้าก็เอาภาพวาดที่เป็นรูปเป็นร่างออกมา ภาพที่มีจุดบกพร่องเป็นร้อยเช่นนี้ จุดเชื่อมของเรือเห็นได้ชัดว่าทำเลียนแบบเรือสินค้า แม้จะทำให้เรือหนักมาก แต่ใช้กับเรือรบที่มีความเร็วสูงเพราะเรือว่างทำให้ลอยเกินไป และเมื่อครู่ข้าเปิดแผ่นไม้นั้นมองลงไป ไม้ที่ใช้ยึดตัวเรือเหล่านั้นกลับไม่ได้ทาสีน้ำมันกันน้ำเป็นพิเศษ เวลาเพียงไม่นานก็มีร่องรอยการผุเน่าแล้ว ย่อมใช้การจริงไม่ได้”
สีหน้าเสิ่นหรูป๋อยิ่งฟังยิ่งเคร่งเครียด ไม่หันไปมองหน้าหลี่เสวียนเอ๋อร์อีก
หลี่เสวียนเอ๋อร์รู้สึกร้อนรนใจยิ่ง พูดอย่างใจไม่อยู่กับตัวว่า “เป็นไปไม่ได้ ข้าทำตามที่บันทึกไว้ใน ‘ตำราเรือย่ำคลื่น’ และหาช่างเรือที่ชำนาญมาต่อเรือให้…”
เมิ่งเชียนจีเบิกตาโต “ทำตาม ‘ตำราเรือย่ำคลื่น’ หรือ เจ้าเป็นผู้สืบทอดสกุลหลี่ทางฝ่ายใด แม้แต่ข้ายังรู้ว่าสิ่งที่บันทึกใน ‘ตำราเรือย่ำคลื่น’ เป็นการออกแบบที่ผิดพลาดในการควบคุมการต่อเรือของผู้สืบทอดสกุลหลี่แต่ละรุ่น ผู้สืบทอดสกุลหลี่ที่มีคุณสมบัติเพียงพอต้องหาความผิดพลาดในนั้นออกมาได้ทั้งหมด และทำการปรับเปลี่ยนให้ถูกต้อง เช่นนี้จึงจะเหมาะที่จะเป็นผู้สืบทอดสกุลหลี่ได้ แต่เจ้ากลับทำตามในตำรานั้น สร้างตามแบบโดยไม่ปรับแก้… นี่อยากทำให้คนตายเท่าใดกัน”
พอคำพูดนี้ออกมา หลี่เสวียนเอ๋อร์ก็ยืนไม่อยู่อีกต่อไป ขาอ่อนนั่งลงบนเก้าอี้ข้างหลังทันที