นางนึกขึ้นได้ทันใดว่าหลายปีก่อนเคยขอร้องพี่รองเอา ‘ตำราเรือย่ำคลื่น’ ให้นางดู ตอนนั้นพี่รองเพียงแค่ปั้นหน้าบึ้งตึงพูดว่า ‘ให้เจ้าดูไปก็ไร้ประโยชน์ ถ้าชอบการต่อเรือจริง ก็ไปดูที่อู่เรือให้มาก ไปถามเอาความรู้จากคนงานเรือเหล่านั้นให้มากจะดีกว่า’
ตอนนั้นนางฟังคำพูดนี้แล้วก็ลอบแค้นอยู่ในใจ คิดว่าหลี่รั่วอวี๋ดูถูกชาติกำเนิดลูกภรรยารองอย่างนาง จึงบอกปัดให้นางไปเรียนรู้กับช่างเรือกักขฬะเหล่านั้น ตอนนี้จึงได้เข้าใจความหมายลึกซึ้งในคำพูดของพี่รอง ผู้สืบทอดสกุลหลี่ตัวจริงมีเพียงเข้าใจเคล็ดวิชาทุกอย่างในการต่อเรือผ่านการลงมือทำจริงจังจนรู้ลึกซึ้ง แล้วสามารถต่อยอดไปได้ จึงจะมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ได้
ก็ไม่แปลกที่เรือที่ผู้สืบทอดสกุลหลี่แต่ละรุ่นสร้างขึ้นจะมีความแตกต่างเล็กๆ ในรายละเอียด นี่เกิดจากความคิดของแต่ละคนแตกต่างกัน และวิธีการสร้างแนวคิดใหม่บนพื้นฐานการส่งผ่านปากต่อปากนี้ จึงเป็นเหตุผลหลักที่เรือสกุลหลี่ไม่ถดถอยเป็นเวลานาน
เมิ่งเชียนจีพูดถึงตรงนี้ก็รู้สึกผิดหวัง “อาจารย์ของข้ากับท่านพ่อของคุณหนูรองหลี่เป็นสหายร่วมเป็นร่วมตาย ได้ยินว่านายท่านหลี่ในอดีตเสียเวลาสิบปีจึงแก้ไขข้อผิดพลาดทั้งหมดในตำรา แต่คุณหนูรองหลี่กลับใช้เวลาสั้นๆ เพียงสองปีก็หาออกมาได้ ข้าขอถามท่าน ฮูหยินของท่านจริงๆ แล้ว…”
เขาอยากถามฉู่จิ้งเฟิงว่า หลี่รั่วอวี๋ปัญญาอ่อนจริงหรือไม่ แต่ไม่ต้องให้ฉู่จิ้งเฟิงตอบ เขาก็เห็นหลี่รั่วอวี๋ที่เดิมทีหลบอยู่หลังฉู่จิ้งเฟิงนั่งกินขนมถั่วแดงชิ้นหนึ่งบนโต๊ะ เพราะเมื่อครู่ยกมือแรงไปสักหน่อย อาการที่หลงเหลือหลังจากตกม้าบาดเจ็บก็กลับมาอีกครั้ง มือจึงสั่นไม่หยุด มีเศษถั่วตกเต็มตัวไปหมด
เมิ่งเชียนจีไม่ได้ถามต่อไป เพราะเขาเห็นการกินโดยไม่สนใจคนรอบข้างของหลี่รั่วอวี๋แล้ว ในความทรงจำของเขา นางเป็นหญิงสาวที่สง่างามและเรียบร้อย ไม่มีทางกินอาหารเลอะเทอะต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้แน่นอน…
คิดถึงคำพูดที่เสิ่นหรูป๋อพูดกับเขาวันนั้นแล้ว เมิ่งเชียนจีก็เงยหน้าถอนใจยาวแล้วพูดอย่างเศร้าสลดว่า “เห็นทีวิชาของสกุลหลี่คงสูญสิ้นนับจากนี้แล้ว”
ชาตินี้เขาเทียบหญิงอ่อนแอผู้หนึ่งไม่ได้ ทำให้รู้สึกเสียดาย มักจะคิดว่าจะมีสักวันที่จะใช้ความสามารถแท้จริงมาเอาชนะนางได้ คิดไม่ถึงว่าความปรารถนานี้จะไม่อาจเป็นจริงได้แล้ว
หญิงมีความสามารถน่าตกใจที่ต่อยอดความคิดได้กลับกลายเป็นปัญญาอ่อนโดยไม่มีลางบอกเหตุเลย… ช่างน่าเสียดายจริงๆ
เมิ่งเชียนจีพูดจบก็ไม่สนใจหลี่เสวียนเอ๋อร์ที่โศกเศร้าเหมือนสอบตกนั้นอีก พูดพึมพำกับตนเองแล้วเดินจากไปอย่างปลีกวิเวกราวกับตู๋กูฉิวไป้
ไป๋ฉวนจงคาดไม่ถึงว่าภรรยาที่เพิ่งแต่งงานกับเสิ่นหรูป๋อจะมาปล่อยไก่ ทั้งเมิ่งเชียนจีที่เป็นที่ปรึกษาของเขาก็กลับมาหักหน้าของเขาเช่นนี้ ทำให้อยู่ดีๆ ต้องเสียหน้าต่อหน้าฉู่จิ้งเฟิง
ในตอนนี้เขาจึงพูดกับฉู่จิ้งเฟิงด้วยรอยยิ้มเพียงเปลือกนอก “เห็นทีเรื่องของสกุลหลี่ ไม่ต้องให้พวกเราคนนอกเหล่านี้มาร่วมวง เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าขอตัวลาก่อน… แต่เรื่องที่สกุลหลี่ดึงเวลาการต่อเรือของกรมโยธาจะปล่อยเลยตามเลยเช่นนี้ไม่ได้ รายละเอียดว่าจะจัดการอย่างไรเห็นทีต้องให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่กับบรรดาบุตรสาวปรึกษากันสักหน่อย”
พูดจบเขาก็สะบัดแขนเสื้อ นำเว่ยกงกงเดินจากไป
ส่วนเสิ่นหรูป๋อนั้น นิ่งเงียบอยู่ตรงนั้นสักครู่ ในดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธและรังเกียจ เสียเวลาคิดอย่างรอบคอบ กลับทำการเลือกที่ผิดพลาด หลี่เสวียนเอ๋อร์ผู้นี้ทำร้ายเขาไม่น้อย หากเป็นเช่นนี้ ทางด้านพระมาตุลาไป๋คงจะชี้แจงอะไรไม่ได้ในตอนนี้ หญิงสมควรตายผู้นี้ วางแผนทำให้เขาเมาสุราและหลงใหล ก่อนจะมีอะไรกับนาง เขาเดินผิดก้าวเดียวกลับกลายเป็นผิดพลาดทุกก้าวจริงๆ!
คิดถึงตรงนี้ เขาจึงรีบไปไกล่เกลี่ยต่อหน้าไป๋ฉวนจง ไม่สนใจหลี่เสวียนเอ๋อร์ พาบ่าวไพร่เดินจากไปเลย
ถึงตอนนี้ หลี่เสวียนเอ๋อร์กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป นางร้องไห้สะอึกสะอื้น โจวอี๋เหนียงประคองบุตรสาวท้องโตของตนเอง มองหน้าฮูหยินผู้เฒ่าหลี่กับผู้เฒ่าผู้นำสกุลที่ส่ายหน้าถอนใจ รู้สึกเพียงว่าเสียหน้าอย่างมาก จึงรีบเรียกสาวใช้ให้รีบประคองบุตรสาวเดินจากไป
การมาอู่เรือครั้งนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ได้รับชัยชนะ ความอึดอัดใจตลอดหลายวันมานี้หายไปจนสิ้น
หากพูดเรื่องความชอบ ย่อมเป็นของลูกเขยซือหม่าของนางมาเป็นที่หนึ่ง