บันลือกำลังนั่งดูข่าวอยู่ที่โต๊ะอาหาร พอได้ยินเสียงทักทายสดใสของลูกสาวก็หันไปมอง ครั้นเห็นร่างโปร่งระหงอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนทะมัดทะแมงเข้าชุดกับรองเท้าผ้าใบก็เอ่ยทัก
“ว่าไง วันนี้ลูกพ่อดูพร้อมลุยมากเลยนะ”
“เผื่อไว้ค่ะ ถึงจะเคลียร์ที่ดินที่เขาใหญ่ไว้แล้วแต่มันก็ยังเป็นแค่ที่ดินนี่นา”
“ดีแล้ว” ผู้เป็นพ่อพยักหน้า ขณะที่ฝ่ายลูกสาวหันไปมองแม่บ้านซึ่งกำลังจะเดินผ่านห้องอาหารไป
“แขกมาแล้วใช่ไหมคะ เดี๋ยวฉันไปรับเองค่ะ”
“ไปรับเองเลยเหรอ” บันลือเลิกคิ้ว ปกติแล้วที่บ้านนี้มักจะให้แม่บ้านเป็นคนไปรับแขกและพามาพบเจ้าของบ้าน เว้นแต่เป็นคนที่สนิทสนมหรือมีความสำคัญจริงๆ
“เมื่อวันก่อนพี่เขาเดินมาส่งปีย่าที่รถตั้งไกล” สาวสวยบอกก่อนจะออกจากห้องไป
ผู้เป็นพ่อมองตามไป สบายใจขึ้นบ้างที่ดูเหมือนลูกสาวจะเข้ากับวีรากรได้ดี เพราะอย่างไรหลังจากนี้ทั้งสองคงต้องใช้เวลาด้วยกันอีกพักใหญ่ทีเดียว
บันลือกดรีโมตปิดโทรทัศน์ตอนรายการข่าวตัดเข้าช่วงโฆษณา พอดีกับที่ปริยากรพาสถาปนิกหนุ่มเข้ามาในห้องอาหาร หลังจากสบตากัน สองบุรุษต่างวัยก็ทักทายกันตามที่ปริยากรแนะนำให้รู้จักประหนึ่งไม่เคยเจอกันมาก่อน
“ปีย่าเล่ารายละเอียดที่เราคุยกันให้คุณพ่อฟังแล้วค่ะ แต่ยังไงพี่วีช่วยคุยกับคุณพ่ออีกทีแล้วกัน เผื่อคุณพ่ออยากปรับเปลี่ยนอะไร”
“พ่อบอกแล้วไงว่าให้ปีย่าเป็นคนจัดการดูแลโครงการนี้ ซึ่งนั่นก็รวมถึงการตัดสินใจทั้งหมดด้วย”
“งั้นเอาเป็นว่าพี่วีช่วยคุยกับคุณพ่ออีกรอบ เผื่อปีย่าตกหล่นอะไรไป แล้วก็เผื่อคุณพ่อจะมีคำแนะนำด้วย ยังไงคุณพ่อก็เคยทำอสังหาฯ มาไม่น้อย” ปริยากรแก้ ก่อนที่ดวงหน้าสวยจะผินไปหาสถาปนิกหนุ่มแล้วขยิบตาให้
“เรานี่นะ” บันลือส่ายหน้าไปมาขันๆ “เอ้า เชิญๆ คุณวี กินข้าวแล้วคุยกัน แต่ยังไงก็ระวังปีย่าเอาไว้ด้วยนะ ลูกสาวผมหาทางให้ได้สิ่งที่ต้องการเสมอแหละ”
“คุณพ่อ ปีย่ายังไม่ได้ทำอะไรเลย” สาวสวยแย้งเสียงใส แล้วหันกลับไปสนใจผู้มาเยือนอีกรอบ “บ้านนี้กินมื้อเช้าหนักไม่ต่างกับมื้ออื่นเท่าไหร่ พี่วีกินได้ไหมคะ หรืออยากได้ของเบาๆ บอกได้นะ”
“ปกติพี่กินมื้อเช้าเยอะอยู่แล้วครับ”
“งั้นเราก็อยู่ด้วยกันได้” เธอหัวเราะ “เชิญตามสบายเลยนะคะพี่วี เติมข้าวได้ไม่ต้องเกรงใจ”
บทสนทนาบนโต๊ะอาหารช่วงแรกเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเดินทางไปเขาใหญ่ในวันนี้ จากนั้นปริยากรจึงเบนหัวข้อสนทนาเข้าสู่เรื่องการวางแปลนหมู่บ้าน แล้วปล่อยให้สองบุรุษต่างวัยคุยกัน ส่วนเธอก็นั่งกินไปฟังไป นานๆ จึงค่อยส่งเสียงขึ้นมาทีหนึ่ง
วันนี้หญิงสาวจะเดินทางไปเขาใหญ่พร้อมกับวีรากรตามที่นัดกันไว้ เธออยากให้เขาได้เจอกับบันลือก่อนจึงชวนเขามากินข้าวเช้าด้วยกันเสียเลย ทีแรกเขาดูแปลกใจแต่สุดท้ายก็ตอบรับ ปริยากรเดาเอาเองว่าลึกๆ อีกฝ่ายอาจโล่งใจก็ได้ที่จะได้คุยกับคนที่พอรู้เรื่องด้านอสังหาริมทรัพย์บ้าง ซึ่งเท่าที่ฟังเธอก็รู้สึกว่าคิดถูกแล้วที่ชวนสถาปนิกหนุ่มมาเจอบันลือ เพราะฟังแล้วทั้งสองพูดจาภาษาเดียวกันและได้เนื้อหาสาระเกี่ยวกับงานมาก
‘แกรู้สึกว่าโดนมอง แล้วพอหันไปก็เจอสายตาพี่วีเหรอ’ ปภาวรินท์ถามอย่างแปลกใจหลังจากเธอเล่าเรื่องเมื่อวันย้ายสำนักงานให้ฟัง
‘อืม แต่คิดไปคิดมาฉันว่าอาจจะเป็นความบังเอิญมั้ง คือจากจุดที่เขายืนอยู่ พอเงยหน้าขึ้นมาก็จะเจอพวกเราพอดีน่ะ เขายืนเล่นมือถือก็ก้มๆ เงยๆ อยู่แล้ว’
‘คงเป็นอย่างนั้นแหละ’ เพื่อนร่างเล็กพยักหน้าหงึกหงัก
‘แปลก’ ปริยากรหรี่ตาลงเล็กน้อย ‘ปกติแกควรจะกรี๊ดกร๊าดแล้วพยายามจับคู่ให้ฉันกับพี่วีสิ ยิ่งแกปลาบปลื้มพี่วีอยู่ด้วย’
ปภาวรินท์เหวอไปนิดหนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าดิก
‘แหม ฉันก็อยากจับคู่หรอก พี่วีดีจะตาย แต่แบบว่ามีอยู่วันนึงฉันตามพี่วินไปบ้านพี่วีมา คุณพ่อพี่วีพูดเรื่องที่พี่วีเป็นฤๅษีไม่ยอมมีแฟนไรงี้ แล้วพี่วีบอกว่าเขาแค่รอเจอแฟน ตอนนี้ยังไม่เจอเลยยังไม่มีแฟน แค่นั้นเอง…ฉันเลยคิดว่าพี่วีเป็นพวกไม่คิดจะลองคบหรือศึกษาใครดูหรอก ถ้าเจอแล้วใช่คือใช่ และก็มีแต่เขาเท่านั้นแหละที่รู้ว่าใช่หรือเปล่า จับคู่ไปก็เท่านั้นจริงไหม’
เหตุผลที่เพื่อนให้มานั้นฟังเข้าใจได้ ขณะเดียวกันมันก็น่าสนใจทีเดียว ภาพลักษณ์ของวีรากรดูเข้าถึงยากกว่าอาชวิน แต่ความจริงเขาใจดีและเป็นมิตรไม่แพ้เพื่อนสนิทเลย เมื่อวันก่อนที่เธอไปบริษัทสถาปนิก Archwin ตอนกลับเขายังอุตส่าห์ตามไปส่งทั้งๆ ที่เธอจอดรถไว้ตั้งไกล
‘ก็เพราะน้องปีย่าจอดรถไว้ไกลพี่ถึงต้องเดินไปส่งไง’
ชายหนุ่มพูดไว้อย่างนั้นตอนที่เธอทักท้วง…ถึงจะเพิ่งรู้จักกันไม่นาน แต่ปริยากรก็ลงความเห็นว่าวีรากรเป็นผู้ชายที่เท่มาก อยากเห็นจริงๆ เลยว่า ‘แฟน’ ที่เขารออยู่จะเป็นคนยังไง