บทที่ 3 เรื่องบังเอิญ
เขาใหญ่อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ เท่าไหร่และเพราะออกเดินทางแต่เช้าจึงไม่เจอปัญหาการจราจรมากนัก อย่างไรก็ตามมันมีปัญหาอื่นอยู่บ้าง เพราะทั้งวีรากรและปริยากรต่างไม่เคยมาเยือนที่ดินผืนนี้ แถมด้วยความที่มันเป็นที่ดินส่วนตัว ไม่มีหมุดปักในแผนที่ชัดเจน สถาปนิกหนุ่มจึงขับรถเลยทางเข้าที่ดินไป ถึงแม้สาวสวยจะช่วยดูทั้งแผนที่ในมือถือและหันมองข้างทางอยู่ตลอด กว่าจะรู้ตัวอีกทีวีรากรก็ขับรถเลยไปไกลแล้วจนต้องหาทางกลับรถย้อนไปทางเดิม ซึ่งเขาต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่กว่าจะเจอทางเข้าที่ถูกต้อง และยิ่งไปกว่านั้นพอจอดรถตรงหน้าบ้านสำเร็จรูปปุ๊บฝนก็ตกลงมาปั๊บ แถมพอเอาของเข้าไปเก็บแล้วฝนกลับยิ่งตกหนัก สถาปนิกหนุ่มเลยชวนเธอออกมากินข้าวข้างนอกก่อน รอเผื่อฝนเบาลงจะได้สำรวจที่ดินได้ง่ายขึ้น
วีรากรให้หญิงสาวเลือกร้านอาหาร เธอไม่คุ้นเคยกับแถวนี้เลยใช้วิธีลองหาในอินเตอร์เน็ตแล้วเลือกร้านที่รีวิวอาหารดูใช้ได้บวกกับสถานที่สวยน่าถ่ายรูปเช็กอิน
“ที่ดินอยู่ไกลจากพวกร้านค้ากับโรงแรมเหมือนกัน มิน่าคุณพ่อถึงให้หาบ้านสำเร็จรูปเอาไว้”
“อาจจะลำบากเรื่องของกินหน่อยถ้าไม่ออกมาข้างนอก แต่ถ้ามาค้างเมื่อไหร่ก็แวะซื้อของติดเข้าไปน่าจะได้ บ้านหลังกลางมีครัวเล็กๆ อยู่”
“บ้านสำเร็จรูปนี่ก็สะดวกดีนะคะ ปีย่าเพิ่งเลือกแบบไม่กี่วัน มาวันนี้ติดตั้งเรียบร้อยแล้ว”
วีรากรไม่ตอบอะไร เพียงมองหญิงสาวซึ่งไปหันไปมาสำรวจรอบตัวด้วยท่าทางร่าเริงอารมณ์ดีตามแบบฉบับ…เนื่องจากอาชวินมีเพื่อนเปิดบริษัทขายบ้านสำเร็จรูปเรื่องเลยง่ายขึ้นมาก แต่เขาเองก็ต้องมาค้างด้วย ดังนั้นจึงเลือกใช้บ้านหลังเล็กตั้งเรียงต่อกันแทนที่จะใช้บ้านหลังใหญ่ ปัญหาใหญ่ก็คือหลังจากนี้จะต้องพยายามรั้งปริยากรไว้ที่เขาใหญ่ให้มากที่สุด จนกว่าบันลือและทรงพลจะสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับคนที่วางแผนลอบทำร้ายปริยากรได้แน่ชัดกว่านี้
มันยากตรงนี้แหละ แค่สร้างบ้านหลังเดียวจะเป็นเหตุผลรั้งให้ปริยากรอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ทั้งบันลือกับทรงพลต่างโยนมาเป็นภาระของเขาเสียอย่างนั้น…ลำพังออกแบบบ้านกับคอยดูแลความปลอดภัยเล็กๆ น้อยๆ เวลาอยู่ด้วยกันน่ะไม่เป็นไรหรอก ทว่าก็ควรจะช่วยคิดข้ออ้างให้เขาสักหน่อยด้วย
“พี่ช่วยถ่ายรูปให้ไหม” วีรากรออกปากเมื่อเห็นหญิงสาวหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเซลฟี่
“ปีย่าก็ว่าจะวานพี่วีนี่แหละ แต่ขอติดไว้ตอนกินข้าวเสร็จแล้วกันนะคะ” ปริยากรหันกลับไปฉีกยิ้มให้คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะหลังจากกดเซลฟี่ตัวเองไปอีกรูป จากนั้นก็เหลือบมองไปรอบๆ “วันเสาร์นี่คนเยอะดีจัง ความจริงแถวหน้าหมู่บ้านก็น่าทำร้านอาหารคาเฟ่เหมือนกันนะ แถวนั้นไม่ค่อยมีร้านอะไรด้วย”
“ถ้าอยากทำก็บอกได้ครับ เดี๋ยวพี่จัดการให้”
“เป็นคำพูดที่ฟังรื่นหูมากค่ะ แต่เดี๋ยวขอปีย่าขอคิดดูก่อน” ปริยากรวางโทรศัพท์มือถือลง ตั้งใจจะชวนอีกฝ่ายคุย แต่ไม่ทันไรก็มีคนโฉบมาพร้อมกับส่งเสียงแปลกใจ
“คุณวี! ไปไงมาไงคะเนี่ย”
“อ้าว คุณจ๋า สวัสดีครับ” สถาปนิกหนุ่มค้อมศีรษะทักทายอีกฝ่าย
จิรวดีส่งยิ้มตอบกลับไป ก่อนจะเหลือบไปมองผู้หญิงอีกคน สีหน้าท่าทางแสดงความประหลาดใจกว่าเดิม
“ปีย่า…ไม่นึกว่าจะได้เจอกันที่นี่นะ ยิ่งเป็นการเจอพร้อมกับคุณวีด้วย”
“พวกเรามาทำงานครับ”
เสียงตอบของวีรากรดังขึ้นก่อนที่ปริยากรจะทันอ้าปาก แวบแรกเธอนึกเสียดายนิดหน่อย แต่นึกอีกทีมันอาจจะดีแล้วก็ได้ที่เขาตอบไปตามตรง ไม่โยกโย้ก่อกวนแบบที่เธอตั้งใจทีแรก เพราะถึงแม้จิรวดีจะมีนิสัยขี้อวด ชอบทำตัวเด่นชวนให้หมั่นไส้ แต่อีกฝ่ายก็ไม่เคยทำตัวมีปัญหากับเธอ…รักษาสถานะไว้แค่ระดับคนหมั่นไส้กันและไม่สุงสิงกันจะดีกว่า
“ทำงาน? หมายความว่าคุณวีกำลังออกแบบสร้างอะไรแถวนี้ให้ปีย่าเหรอคะ”
“ประมาณนั้นแหละ” ปริยากรพยักหน้าหงึกๆ “เอ๊ะ เธอก็เคยใช้บริการ Archwin เหมือนกันเหรอ”
“ไม่เคย แค่เกือบ…ตอนนั้นคุณวีไม่ว่าง” จิรวดีหันกลับไปหาชายหนุ่ม
“ช่วงที่คุณจ๋าติดต่อมาตอนนั้นงานที่บริษัทแน่นมาก คนทำงานไม่พอจริงๆ เสียดายมาก” วีรากรพูดเสียงเรียบเรื่อย
“จ๋าก็เสียดายค่ะ แต่จ๋าชื่นชมพวกคุณนะคะที่ยอมเสียรายได้แต่ไม่ยอมให้มาตรฐานงานตก” หญิงสาวบอกเสียงใส “นี่จ๋าตั้งใจไว้แล้วค่ะว่าถ้าเปิดร้านใหม่จะกลับไปหาคุณวีอีกรอบ หวังว่าคราวนี้จะไม่ติดขัดอะไร”
“ขอบคุณคุณจ๋ามากครับที่ยังนึกถึง Archwin”
มันแปลกๆ…ปริยากรซึ่งนั่งฟังบทสนทนาเงียบๆ ตั้งแต่ต้นเฝ้ามองกิริยาอาการของสองหนุ่มสาวอย่างพินิจพิเคราะห์ ดูเหมือนยามจิรวดีเอ่ยอ้างถึง Archwin จะให้น้ำหนักไปที่วีรากรอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่สถาปนิกหนุ่มพูดในแบบที่ตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง