บทที่ 4 คดีเก่าครั้งใหม่
“แหม มีคดีกันอยู่จริงๆ ด้วย ถึงจะเป็นคดีแบบมีแต่โจทก์ฝ่ายเดียวก็เหอะ” ปริยากรร้องออกมาหลังได้ฟังเรื่องราวจากเพื่อนสนิท
เมื่อคืนนี้เธอพาวีรากรไปรู้จักกับเหล่าศิษย์เก่าร่วมมหาวิทยาลัย ตอนแรกเธอนึกว่าตะวันจะรำคาญแล้วผละไปเอง ที่ไหนได้เขากลับเกาะติดไม่ปล่อยทีเดียว ยังดีที่สถาปนิกหนุ่มเองก็นิ่งและเนียน ไม่ได้พูดอะไรที่เธอไม่อยากให้พูด รวมถึงไม่ได้ทำอะไรที่เธอไม่อยากให้ทำเลย ทว่าท่าทีของหนุ่มไฮโซกลับทำให้เธอสงสัยอย่างยิ่งว่าในอดีตผู้ชายทั้งสองคนอาจเคยมีประเด็นบางอย่างกันอยู่ ครั้นจะถามวีรากรก็คงไม่ได้ ดังนั้นเมื่อกลางวันเธอจึงโทรไปหาปภาวรินท์ พอเล่าเรื่องทั้งหมดแล้วเธอก็ใช้อีกฝ่ายไปหาข้อมูล ซึ่งมันไม่ยากเลย ในเมื่อเพื่อนก็แค่ไปถามแฟนสุดที่รักเท่านั้น
ตอนแรกอาชวินจำตะวันไม่ได้ ปภาวรินท์เลยหารูปไปให้ดู นั่นเองเขาจึงจำอีกฝ่ายได้ ปรากฏว่าสมัยเรียนตะวันเคยตามจีบสาวสถาปัตย์ฯ คนหนึ่ง ทว่าสาวเจ้าดันแอบปลื้มวีรากรอยู่ แถมยังใช้วีรากรเป็นไม้กันหมาแบบที่เจ้าตัวไม่รู้เรื่อง กระทั่งตะวันเข้าใจวีรากรผิดไปหลายเรื่อง แต่ฝ่ายหลังเองก็ไม่ค่อยสนใจอะไรอยู่แล้วด้วย เรื่องเลยยิ่งไปกันใหญ่
จนอาชวินกลับมาจากการแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศ ด้วยความเป็นคนกว้างขวางทำให้เขารู้เรื่องทั้งหมดอย่างรวดเร็ว เขาจัดการแก้ไขเท่าที่ทำได้ ทว่าด้วยความที่เรื่องมันเนิ่นนานและมีหลายประเด็นทำให้ตะวันยังมีอคติกับวีรากรอยู่ แต่ด้วยนิสัยส่วนตัวทำให้วีรากรไม่เก็บมาใส่ใจสักนิด ตราบใดที่ตะวันไม่ได้เข้าไปหาเรื่องซึ่งหน้าก็ไม่มีปัญหา
“สรุปว่านายตะวันเพ้อเจ้อไปเองคนเดียว แต่นี่ก็ตั้งหลายปีแล้วนะ ยังจะอาฆาตแค้นอะไรพี่วีอยู่เนี่ย” ปภาวรินท์บ่นงึมงำ
“แหม ก็คงคล้ายแกน่ะแหละ หลงรักพี่วินข้ามภพข้ามชาติ” ปริยากรอดใจแกล้งเพื่อนไม่ไหว
“ปีย่า! มันเหมือนกันที่ไหนเล่า!”
พอได้ยินเสียงโวยวายของเพื่อนลอยมาตามสัญญาณโทรศัพท์ เธอก็หัวเราะเสียงใส
“ยังไงก็เหอะ แกดูแลพี่วีดีๆ นะ อย่าให้นายตะวันไปกวนเขา” ปภาวรินท์บอกกึ่งสั่ง
“แกควรจะห่วงฉันบ้างนะ ฉันรำคาญตะวันจะแย่อยู่แล้ว” ปริยากรกลอกตา
“ฉันต้องห่วงพี่วีสิ เพราะเท่าที่ฟัง แกใช้เขาเป็นไม้กันหมาไปเรียบร้อยแล้ว แถมมันดันไปพ้องกับคดีเก่าที่นายตะวันฝังใจอยู่กับพี่วีอีก แล้วตอนนี้หมอนั่นก็ตามวอแวแกอยู่ มีแนวโน้มมากเลยนะที่ตะวันจะหาเรื่องพี่วี”
เจ้าของร่างโปร่งทิ้งแผ่นหลังพิงพนักเก้าอี้ทำงานตัวใหญ่ ดวงตามองไฟดาวน์ไลต์ที่ฝังอยู่บนเพดาน…เรื่องนี้เธอเถียงไม่ออกเสียด้วย เมื่อคืนที่เธอชวนวีรากรเข้างานไปด้วยกันก็เพราะรำคาญตะวันแถมเบื่องานเลี้ยง ไม่ได้ตั้งใจให้เขาโดนเขม่น ไม่นึกว่าบุรุษทั้งสองจะเคยมีคดีลักษณะเดียวกันมาก่อน
แต่ไม่ว่าอย่างไรเธอก็เห็นแก่ตัวและคิดน้อยเกินไปจริงๆ นั่นแหละ…ก่อนหน้านี้เคยมีเหตุการณ์ที่อาชวินโดนกลั่นแกล้งโดยมีสาเหตุเกี่ยวเนื่องกับปภาวรินท์มาแล้ว ใครจะไปรู้ว่าตะวันจะทำอะไรหรือเปล่า ระวังไว้ก่อนน่าจะดีกว่า
ทว่าเธอจะดูแลวีรากรได้ยังไงบ้างล่ะเนี่ย เจอกันกี่ทีมีแต่เขาต้องช่วยเธอทั้งนั้นเลย…
“ไงล่ะเรา ประชุมทั้งวันเส้นยึดเลยเหรอ” บันลือหันไปมองลูกสาวที่เดินเยื้องอยู่ทางด้านหลัง เธอกำลังยืดเหยียดสองแขนขึ้นเหนือศีรษะเพื่อคลายความเมื่อยล้า
“เส้นสมองแหละค่ะที่ยึด” หญิงสาวหัวเราะ
พ่อของเธอมีธุรกิจหลากหลาย แบ่งเป็นหลายบริษัท ดังนั้นจึงใช้วิธีจ้างมืออาชีพมาบริหารแต่ละบริษัท ส่วนเธอก็ช่วยพ่อดูแลบริษัทโฮลดิ้งซึ่งเป็นบริษัทถือหุ้นใหญ่ในแต่ละบริษัทย่อย งานที่ถูกกระจายออกไปทำให้พวกเธอสองพ่อลูกไม่ยุ่งนัก ทว่ามันก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องมีการประชุมใหญ่ลากยาวทั้งวันอย่างวันนี้บ้าง
“จะว่าไปพ่อว่าหลังจากนี้ปีย่าน่าจะนั่งหัวโต๊ะคนเดียวได้แล้วนะ”
“คุณพ่อ หยุดเลยนะ ห้ามทิ้งปีย่าตั้งแต่ตอนนี้ คุณพ่อยังทำงานไหวยังไงก็ต้องช่วยปีย่าก่อน ห้ามกินแรง” ปริยากรฉวยแขนของพ่อไว้ทันใด
“เราน่ะใช้แรงงานคนแก่” บันลือโคลงศีรษะทั้งรอยยิ้มขัน “พ่อก็ต้องยังอยู่ช่วยปีย่าแน่ล่ะ แต่พอเห็นว่าลูกพร้อมจะรับช่วงต่อแล้วมันก็สบายใจน่ะ ใครจะไปรู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นจริงไหม”
“ปีย่ารู้ว่าคุณพ่อต้องอยู่กับปีย่าอีกนานแน่นอน” หญิงสาวประกาศอย่างมั่นอกมั่นใจ
“ก็ว่าอย่างนั้นแหละ” บุรุษสูงวัยหัวเราะ