ปริยากรเดินควงแขนพ่อไปจนถึงห้องทำงานใหญ่ คมสันที่อยู่หน้าห้องก็ส่งเสียงเรียกไว้
“ท่านบันลือ เอกสารสำคัญที่ต้องลงนามถูกรวมไว้บนโต๊ะทำงานแล้วนะครับ”
“อืม”
“คุณปีย่า มีดอกไม้ส่งมาด้วยครับ” เลขานุการหนุ่มใหญ่หันไปหยิบช่อดอกไม้ที่วางอยู่บนตู้มาส่งให้สาวสวย
“ขอบคุณค่ะ”
หญิงสาวรับช่อดอกไม้มา ไม่ได้ใส่ใจดูในทันทีว่าใครส่งมาเพราะปกติก็มีดอกไม้ถูกส่งถึงเธอเป็นระยะอยู่แล้ว จนกระทั่งเข้าไปในห้องทำงานแล้วผู้เป็นพ่อเอ่ยปากถามเธอจึงค่อยก้มลงหยิบการ์ดที่ห้อยอยู่กับช่อดอกไม้ขึ้นดู
“คนส่งมาก็…อ้อ ตะวัน”
“ตะวัน…ใช่ลูกชายของคุณหญิงโสภาหรือเปล่าน่ะ” บันลือเลิกคิ้ว
“ฮื่อ” ปริยากรพยักหน้ารับขณะทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน พร้อมกันนั้นก็โยนช่อดอกทานตะวันแสนสวยในมือลงบนโต๊ะส่งๆ
คุณหญิงโสภาเป็นหญิงแกร่งที่ชีวิตคล้ายกับบันลือมาก คือทำธุรกิจและเข้าสู่แวดวงการเมือง แม้จะอยู่กันคนละฝั่งและไม่ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งใหญ่โตเท่าพ่อของเธอ ทว่าคุณหญิงโสภาก็เป็นที่นับหน้าถือตาในวงการการเมืองไม่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายกับพ่อของเธอก็เคารพนับถือกันและกันดีด้วย ส่วนตะวันนั้นบันลือเคยเจอหลายหน แต่ก็ไม่ได้สนทนาวิสาสะกันมากนัก
“แล้วเขาจีบเราอยู่หรือไงน่ะ”
“เปล่าหรอกค่ะ…อืม ก็ไม่เชิงมั้ง คุณพ่อจำได้ใช่ไหมว่าเราเรียนมหา’ลัยเดียวกัน รู้จักกันมานานแล้ว แต่เขาเพิ่งมาวอแวกับปีย่าช่วงหลังๆ นี้เอง คงเริ่มเห็นว่าปีย่าเป็นตัวเลือกที่ดีแล้วมั้ง”
“ในอีกแง่…เขาก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับปีย่าเหมือนกันนะ” บันลือทิ้งน้ำหนักพิงพนักเก้าอี้ ดวงตาฉายแววครุ่นคิด
“หา? หมายถึงตะวันน่ะเหรอ…ไม่เอาค่ะ ไม่เอาแน่ๆ” ดวงหน้าสวยส่ายไปมาอย่างรวดเร็ว สีหน้าท่าทางสยดสยอง “อย่างที่บอกว่าปีย่ารู้จักกับตะวันมานานแล้ว ถ้าจะชอบกันคงคบกันไปนานแล้วล่ะ ส่วนเรื่องจะให้แต่งงานเพราะผลประโยชน์นี่ปีย่าก็รับไม่ได้เหมือนกัน ยิ่งกับผู้ชายอย่างตะวันแล้วด้วย เขาเป็นพวกหมาหยอกไก่ไปเรื่อย ต่อให้เขารักปีย่าจริงๆ จะเลิกนิสัยนี้ได้หรือเปล่ายังไม่รู้เลย”
“ที่พูดมาพ่อก็พอเข้าใจอยู่หรอก” บันลือหยุดนิดหนึ่งแล้วถอนหายใจ “ไม่ใช่ว่าพ่อจะบังคับให้เราแต่งงานเพื่อผลประโยชน์หรืออะไรแบบนั้นหรอกนะ พ่อแค่เป็นห่วงปีย่าน่ะ สักวันหนึ่งพ่อจะไม่อยู่ ถ้าปีย่าเหลือตัวคนเดียวคงโดดเดี่ยวมากแน่ อย่างพ่อเองถ้าไม่มีปีย่าอยู่ก็คงแย่เหมือนกัน”
“ปีย่าเคยคิดเรื่องนี้นะ แล้วสุดท้ายมันก็วนกลับไปอยู่ในจุดที่ว่าถ้าไม่มีคนที่อยากอยู่ด้วยจริงๆ ก็ขออยู่คนเดียวดีกว่า เพื่อนปีย่าแต่งงานไปแล้วหลายคน ที่แฮปปี้ก็มี ที่เหงาและเครียดกว่าตอนอยู่คนเดียวก็เยอะ ปีย่าเลยคิดว่าอย่างน้อยขอให้ได้เลือกคนที่อยากอยู่ด้วยจริงๆ ไว้ก่อน แล้วจากนั้นจะเป็นยังไงก็ถือว่าได้เลือกเอง…คุณพ่อเองก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ ไม่งั้นคุณพ่อคงหาใครสักคนมาอยู่ด้วยไปแล้ว ไม่อยู่กับปีย่าแค่สองคนมาเป็นสิบปีตั้งแต่คุณแม่เสียแบบนี้หรอก”
“ใช่ พ่อถึงบอกว่าไม่ได้คิดจะบังคับลูกไง แต่ด้วยความเป็นพ่อ…ยังไงก็อดห่วงไม่ได้” บุรุษสูงวัยส่งยิ้มบางๆ ให้ลูกสาวอย่างจะให้เธอคลายใจว่าเขาไม่ได้คิดจะบังคับเรื่องคู่ครองจริงๆ
“ปีย่าวางแผนเอาไว้แล้ว ถ้าสุดท้ายต้องอยู่คนเดียวก็จะไปซื้อบ้านอยู่ข้างบ้านปิน ยังไงก็ไม่มีทางเหงาแน่นอน” หญิงสาวทุบกำปั้นลงบนฝ่ามืออีกข้างของตัวเอง ท่าทางจริงจังอย่างยิ่ง
“เอาๆ” บันลือหัวเราะ จากนั้นก็หันไปหยิบแฟ้มเอกสารมาเปิดเพื่ออ่านก่อนลงนาม
ปริยากรย้ายสายตากลับไปหาช่อดอกทานตะวัน ในการ์ดนอกจากชื่อคนส่งแล้วก็มีข้อความ ‘สู้ๆ นะ’ กำกับไว้ด้วย มันคงเป็นผลจากการที่เมื่อบ่ายตะวันโทรมาหาแล้วเธอไม่ได้รับสายเพราะอยู่ในห้องประชุม พอเห็นสายไม่ได้รับจึงส่งข้อความกลับไปบอกว่าไม่สะดวกคุยเพราะมีประชุมทั้งวัน ไม่นึกว่าเขาจะส่งดอกไม้มาให้แบบนี้
ถ้าเป็นผู้ชายที่เธอพอจะนึกชอบอยู่บ้างมันก็น่าประทับใจน่ะแหละ แต่พอดีเป็นตะวัน…ถ้านับแค่สถานะเพื่อนต้องบอกว่าเขาไม่แย่ ทว่าในสถานะคนรักดูยังไงก็ไม่ไหว ช่วงหลังมานี้ที่เขาหันมาวอแวกับเธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าดอกทานตะวันช่อนี้จะเป็นสัญญาณยกระดับหรือเปล่า และยิ่งไม่รู้ด้วยว่ามันจะเกี่ยวกับการที่เขาได้เจอวีรากรเมื่อวันก่อนด้วยไหม
ยุ่งจริงๆ เลย…