บทที่ 5 ครอบครัวสุขสันต์
เนื่องจากรู้ตำแหน่งที่ตั้งของที่ดินแน่นอนแล้ว คราวนี้ปริยากรจึงขับรถมาเองโดยนัดเจอกับวีรากรที่เขาใหญ่เลย ปรากฏว่าตอนมาถึงเธอเจอรถของชายหนุ่มจอดอยู่ก่อนแล้ว พอลงจากรถก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียว แถมคนที่อยู่ด้วยคือพ่อของเขาอีกต่างหาก
“โอ๊ะ คุณพ่อพี่วีเหรอคะ สวัสดีค่ะ” หญิงสาวยกมือไหว้ชายร่างใหญ่อย่างรวดเร็วหลังจากได้รับการแนะนำ “ปินเคยพูดถึงคุณลุงให้ฟังค่ะ บอกว่าคุณลุงใจดีมาก ปีย่ายังนึกอยู่เลยว่าอยากเจอคุณลุง”
“หนูปินก็เคยเล่าถึงหนูให้ลุงฟังเหมือนกัน” ทรงพลรับไหว้ยิ้มแย้ม “ไม่นึกเลยว่าไปๆ มาๆ หนูจะกลายมาเป็นลูกค้าของวี”
“จริงด้วยค่ะ” เธอพยักหน้าหงึกหงัก “แล้วคุณลุงขึ้นมาเขาใหญ่วันนี้มาเที่ยวเหรอคะ”
“เปล่าหรอก มาดูที่ทางเกี่ยวกับงานนิดหน่อยน่ะ”
ปริยากรมองใบหน้ากร้านของทรงพล ก่อนจะนึกได้ว่าอีกฝ่ายทำธุรกิจรักษาความปลอดภัย ดังนั้นเธอจึงไม่คิดจะไถ่ถามต่อให้มากความและเบี่ยงประเด็นสนทนาไปอีกทาง
“แล้วคุณลุงจะค้างหรือเปล่าคะ ถ้าค้างพักที่นี่ก็ได้นะ เพียงแต่มันอาจไม่สะดวกสบายเท่าไหร่”
“พี่กำลังจะขอน้องปีย่าให้พ่อพี่ค้างที่นี่ด้วยอีกคน…อยู่ที่บ้านพี่นี่แหละครับ รับรองว่าไม่รบกวน” วีรากรส่งเสียงหลังจากเงียบมานาน
“ไม่เห็นต้องขอเลยค่ะ คุณลุงตามสบายเลยนะคะไม่ต้องเกรงใจ” เธอส่งยิ้มให้สองพ่อลูก ก่อนจะทำท่านึกขึ้นได้ “จริงสิ แล้วนี่กินมื้อเที่ยงกันหรือยังคะ ปีย่าแวะเอาของมาเก็บแล้วว่าจะออกไปกินข้างนอก ถ้ายังไปด้วยกันไหม”
“ตอนแรกลุงก็ชวนวีกินข้าวก่อนเข้ามานะ แต่วีเขารอเจอหนูปีย่าก่อนจะได้ดูว่าหนูกินมาหรือยัง”
“พี่วีใจดีตลอดเลย ขอบคุณนะคะ” ปริยากรหันไปส่งรอยยิ้มสดใสให้ชายหนุ่ม “งั้นเดี๋ยวปีย่ารีบเอาของไปเก็บ แป๊บเดียวค่ะ”
“ของเยอะไหม ลุงช่วยดีกว่า”
“ไม่เยอะค่ะ ปีย่าเอาพวกของใช้อย่างจานชามมา”
“อ้อ แต่ยังไงให้ลุงช่วยนั่นแหละ” ทรงพลยืนยันเจตนารมณ์
วีรากรยกสองแขนขึ้นกอดอก มองพ่อที่เดินตามหญิงสาวไปยังรถคันเล็กของเธอ ซ้ำทั้งสองยังสนทนาปราศรัยกันไม่หยุดประหนึ่งรู้จักกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน ซึ่งเขาก็ไม่แน่ใจว่าควรจะงุนงงหรือทึ่งดี
แต่เอาเถอะ สองคนนี้เข้ากันได้ดีก็ถือว่าดีแล้วล่ะมั้ง…
ทรงพลกับปริยากรคุยกันถูกคอมาก ทั้งสองคุยกันตลอดทางไปร้านอาหาร แถมยังยาวไปถึงกระทั่งตอนกินข้าว วีรากรซึ่งรับหน้าที่พลขับได้แต่นั่งฟังพ่อเผาตัวเองกับอาชวินให้เธอฟังแบบปลงๆ หลังกินข้าวเสร็จหญิงสาวขอแวะร้านขายขนมกับของที่ระลึกใกล้ๆ ทรงพลเลยขอรออยู่ที่ร้านอาหารเพราะจะเรียกลูกน้องซึ่งอยู่แถวนี้มาคุยงาน แล้วค่อยให้ลูกชายแวะมารับตอนขากลับ
“พี่วี…”
ร้านขายของแห่งนี้เป็นร้านแบบเปิดโล่ง ยกสูงจากพื้นถนน ชายหนุ่มปล่อยให้เธอเดินซื้อของ ขณะที่เขายืนกอดอกทิ้งเอวพิงราวระเบียงรอ สีหน้าท่าทางของเขาดูเหม่อลอยแบบที่หญิงสาวไม่เคยเห็น และก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะตอนที่เธอเดินไปเรียกทีแรกเขาไม่มีทีท่าว่าได้ยิน กระทั่งเธอต้องเดินเข้าไปใกล้ขึ้น
“พี่วีคะ พี่วี…”
“ครับ?” เขากะพริบตา
“พี่วีเป็นอะไรหรือเปล่า”
“ง่วงๆ นิดหน่อยน่ะ เมื่อคืนพี่ทำงานดึก” วีรากรมองดวงหน้าสวย
อันที่จริงมันก็เป็นงานบ้านของปริยากรนั่นแหละ เดิมทีงานที่บริษัทก็ค่อนข้างแน่นอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงต้องหอบงานของเธอซึ่งถือเป็นงานพิเศษกลับมาทำที่บ้าน หลายปีหลังมานี้เขาเลิกเอางานกลับมาทำที่บ้านเพื่อรักษาสมดุลชีวิต เพราะช่วงเปิดบริษัทใหม่ๆ เขาโหมทำงานจนแทบไม่ได้ใช้ชีวิตในแง่มุมอื่น ทว่าหนนี้ก็ต้องยอมแหกกฎของตัวเอง เพราะไม่อย่างนั้นวันนี้คงไม่มีงานมาคุย…อีกทั้งเขายังต้องพยายามดึงเธอออกจากกรุงเทพฯ ให้มากที่สุดระหว่างที่ทรงพลกับบันลือควานหาตัวคนที่ปองร้ายเธอเสียด้วย
“อ้าว งั้นเดี๋ยวปีย่าขับรถให้ดีไหม แล้วบ่ายนี้พี่วีก็พักสักหน่อย ไม่ต้องรีบคุยงานหรอก”
“พี่ไม่ได้อดนอนขนาดนั้นหรอก แต่ลมดีแบบนี้มันชวนง่วงด้วย” เขายิ้มแล้วเปลี่ยนเรื่อง “น้องปีย่ามาเรียกพี่มีอะไรหรือเปล่า”
“อ้อ จริงด้วย…ปีย่าจะถามว่าคุณลุงชอบกินขนมอะไรเป็นพิเศษไหม เดี๋ยวปีย่าจะซื้อไปฝาก ตอบแทนที่คุณลุงอุตส่าห์เลี้ยงข้าวด้วย”
วีรากรมองหญิงสาวอย่างชั่งใจ…พ่อของเขาเลี้ยงมื้อเที่ยงเธอโดยให้เหตุผลว่าเพื่อตอบแทนที่เธอให้ที่พัก แต่นี่เธอจะซื้อขนมกลับไปให้ทรงพลอีก เดี๋ยวคงได้ตอบแทนกันไปมาไม่รู้จบ ครั้นจะห้ามไม่ให้ซื้อก็คงไม่ได้อีก