เอาเถอะ…
“พ่อพี่ชอบขนมไข่ แบบที่น้องปีย่าเคยซื้อไปฝากที่ออฟฟิศนั่นแหละ อันที่จริงขนมหวานก็ชอบหมด แต่อายุเยอะแล้วต้องเพลาๆ ลงบ้าง ถึงโดยทั่วไปพ่อพี่จะแข็งแรงเพราะออกกำลังกายตลอดก็เถอะ”
“นั่นสิ ต้องระวังพวกน้ำตาลด้วย งั้นเอาเหมือนที่ปีย่าจะซื้อไปฝากคุณพ่อแล้วกัน” ปริยากรก้มลงมองของในตะกร้าช็อปปิ้ง
“พี่ช่วยน้องปีย่าถือของแล้วกันจะได้หายง่วง” วีรากรยื่นมือออกไปเป็นเชิงขอ เธอสบตากับเขาท่าทางประหลาดใจ ก่อนจะยื่นตะกร้าในมือส่งให้
หญิงสาวหันกลับไปเดินซื้อของต่อ ก้มหน้าก้มตาอ่านข้อมูลโภชนาการบนกล่องขนม ไม่ได้ใส่ใจร่างสูงใหญ่ที่เดินตามอยู่ด้านหลังนัก บางครั้งจึงค่อยหันไปถามความเห็นเขาสักที กระทั่งนึกขึ้นได้
“จริงสิ แล้วพี่วีชอบกินอะไรเป็นพิเศษไหม เดี๋ยวปีย่าซื้อทิ้งไว้ที่บ้านพัก เผื่อพี่วีขึ้นมาจะได้มีของกิน”
“พี่กินได้หมด แต่ปกติพี่ไม่ค่อยได้กินขนมหรอก”
“งั้นปีย่าจะเอาขนมวางทิ้งไว้ตรงห้องกลาง ถ้าพี่วีหิวก็หยิบกินได้เลยนะไม่ต้องเกรงใจ” ปริยากรสรุป แต่ไม่ทันออกเดินต่อก็มีเสียงทักลอยมา
“ปีย่า…”
หญิงสาวหันไปมอง สตรีสูงวัยในชุดขาวตั้งแต่หัวจดเท้าผู้หนึ่งกำลังเดินตรงมาหา สีหน้าแสดงถึงความแปลกใจ
“หลานปีย่าจริงๆ ด้วย ป้านึกว่าดูผิดเสียอีก มาเที่ยวเขาใหญ่เหรอ”
“มาดูที่ดินค่ะ คุณป้าล่ะ มาปฏิบัติธรรมแถวนี้เหรอ” ปริยากรยกมือไหว้แล้วถามไปด้วย
“จ้ะ นี่กำลังจะกลับกรุงเทพฯ คณะเขาเลยแวะซื้อของฝากกัน” สกาวเดือนเหลือบมองบุรุษที่ยืนอยู่ด้านหลังหลานสาว
“นี่พี่วีค่ะ พี่เขาเป็นสถาปนิกเลยมาช่วยดูที่ดิน” หญิงสาวแนะนำ “พี่วีคะ นี่คุณป้าสกาวเดือน คุณป้าแท้ๆ ของปีย่าเอง”
“สวัสดีครับ” สถาปนิกหนุ่มค้อมศีรษะทักทายเนื่องจากมือกำลังถือตะกร้าที่มีของอยู่เต็ม
“สวัสดีจ้ะ…แล้วนี่มากันสองคนเหรอ”
“พี่วีมากับคุณพ่อเขาค่ะ เขารอคุณพ่อทำงานอยู่เลยมากับปีย่าก่อน” ปริยากรอธิบายไหลลื่นทั้งรอยยิ้ม
“แบบนี้เอง” สกาวเดือนมองชายหนุ่มอีกครั้ง ก่อนจะยกมือขึ้นลูบต้นแขนของหลานสาว “เอาล่ะ ยังไงก็ระวังๆ หน่อยนะ คนรู้จักปีย่าเยอะ คนรู้จักของพ่อเรายิ่งเยอะกว่า”
“ปีย่ารู้ค่ะ คุณพ่อเองก็รู้เหมือนกันว่าพี่วีจะมาช่วยดูที่ดินให้ คุณป้าไม่ต้องห่วง”
“งั้นก็ดีแล้ว…เอาล่ะ ป้าไปก่อนแล้วกัน เดี๋ยวเอาไว้ว่างๆ ป้าจะไปกินข้าวด้วยที่บ้าน” ผู้เป็นป้ามีทีท่าพอใจขึ้น “ดีใจที่ได้รู้จักนะคะคุณสถาปนิก”
“เช่นกันครับ” ชายหนุ่มตอบรับทั้งรอยยิ้มสุภาพ
“เดินทางปลอดภัยนะคะคุณป้า ไว้เจอกันที่กรุงเทพฯ” ปริยากรโน้มตัวไปกอดหญิงสูงวัยนิดหนึ่ง ก่อนจะยืดตัวยืนตรงแล้วยกมือไหว้
สกาวเดือนส่งยิ้มให้วีรากรอีกครั้ง ก่อนจะหมุนกายผละไปทางด้านหลังอันเป็นที่ตั้งของห้องน้ำ…พอป้าเดินพ้นไปจากรัศมีการได้ยินแล้วหญิงสาวก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง จากนั้นจึงหันไปส่งยิ้มให้วีรากร
“พี่วีนี่ดวงสมพงศ์กับครอบครัวของปีย่าดีจัง แป๊บเดียวเจอญาติใกล้ชิดของปีย่าครบเลย” เธอหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะอธิบายต่อ “คุณป้าสกาวเดือนเป็นพี่สาวคุณพ่อปีย่าค่ะ ท่านปฏิบัติธรรมเป็นอาชีพหลัก ปกติท่านไม่มายุ่งกับเรื่องธุรกิจ แต่เอาไว้ค่อยให้ท่านรู้เรื่องสร้างหมู่บ้านทีหลังน่าจะดีกว่า คือคุณป้าเป็นพวกขี้กังวลน่ะค่ะ ท่านจะกังวลไปล้านแปดแล้วก็ออกความเห็นอีกล้านแปด”
“พี่เข้าใจครับ ตราบใดที่อำนาจตัดสินใจอยู่แค่ที่คุณบันลือกับน้องปีย่าก็ไม่มีปัญหา จากประสบการณ์ของพี่มันจะมีปัญหาก็ต่อเมื่อเจ้าของโครงการไขว้เขวไปกับความเห็นหรือข้อแนะนำของคนรอบตัวนี่แหละ” วีรากรบอกเสียงเรียบเรื่อย
“พี่วีสบายใจได้เลยค่ะ ไม่มีเรื่องแบบนั้นแน่นอน” ปริยากรให้คำมั่นหนักแน่น
“ถ้ามีเรื่องอะไรอยากเตี๊ยมก็บอกได้นะครับ ถือเป็นบริการพิเศษของพี่ก็ได้”
ดวงตาคู่สวยคมมองใบหน้าหล่อเหลา เขาพูดหน้าตาย แถมพอได้สบตากันเขายังเลิกคิ้วคล้ายส่งคำถามกลับมาเสียอีก จนเธอต้องหัวเราะออกมา
“เป็นบริการเสริมที่เลิศสุดๆ เลยค่ะ…อันที่จริงคุณน้าฉัตรกับคุณป้าเดือนรักและดีกับปีย่ามากแหละค่ะ ส่วนใหญ่ปีย่าทำอะไรก็ไม่ขัดหรอก เพียงแต่บางทีเหมือนว่าต้องขอออกความเห็นสักนิดหน่อยก่อนอะไรแบบนั้น ปีย่าเลยอยากตัดไฟแต่ต้นลม ให้โครงการดำเนินไปสักพักจนถึงจุดที่ต่อให้ใครพูดอะไรก็ไม่มีผลแล้วแบบนั้นน่าจะดีกว่า เพราะถ้าพูดแล้วไม่ฟังเดี๋ยวก็บัวช้ำน้ำขุ่นเปล่าๆ”
วีรากรพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าเข้าใจ ขณะที่หญิงสาวก้มลงกลับไปมองข้าวของในตะกร้า
“โห ของเยอะเหมือนกันนะเนี่ย ปีย่าไม่ได้ถือตะกร้าก็หยิบใส่เพลินเลย เราไปจ่ายเงินกันดีกว่าค่ะ”
ชายหนุ่มเดินตามปริยากรไปโดยไม่โต้แย้ง ขณะเดียวกันก็ครุ่นคิดถึงคำพูดของเธอไปด้วย…แม้จะมีทีท่าเหนื่อยหน่ายญาติผู้ใหญ่อยู่บ้าง แต่เอาเข้าจริงดูเหมือนเธอจะรักใคร่ทั้งสองคนดี ซึ่งอันที่จริงมันก็เป็นเรื่องที่พบเห็นได้อยู่บ่อยๆ ตามครอบครัวทั่วไป
อย่างไรก็ตามมันยังชวนให้คิดถึงปัญหาที่ทำให้เขากับพ่อถูกจ้างพ่วงกันในเวลานี้ด้วย แม้ปริยากรจะบอกว่าทั้งฉัตรชัยและสกาวเดือนดีกับเธอ และยังมีรายชื่อคนใกล้ชิดน่าสงสัยอื่นในลิสต์ที่บันลือให้มาอีก แต่ก็ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ที่สองคนนี้คิดจะทำลายหลานสาว คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ เขาเห็นมามาก…ไม่ว่าคนร้ายจะเป็นใคร อย่างน้อยขอให้เป็นคนที่หญิงสาวรักน้อยที่สุดแล้วกัน อย่างน้อยเธอจะได้ไม่ต้องเสียใจมาก