“กู๊ดไนต์ครับ แล้วเจอกันพรุ่งนี้”
หญิงสาวส่งยิ้มให้เขาอีกครั้งก่อนจะผละไป เขารอกระทั่งประตูปิดลงแล้วจึงหันกลับไปหาที่วางกระป๋องสเปรย์ หลังจากตรวจสอบทุกอย่างเขาก็ปิดไฟแล้วเดินออกจากบ้านพัก ดวงตาคมเหลือบไปมองบ้านของปริยากรก่อน ผ้าม่านถูกปิดไว้ทว่ายังเห็นแสงไฟเล็ดลอดออกมา มุมปากของเขายกเป็นรอยยิ้มอัตโนมัติ ก่อนที่เขาจะเดินเลี้ยวไปอีกทางเพื่อกลับเข้าบ้านตัวเอง
“เดินยิ้มมาเชียว มีอะไรดีๆ หรือไง” ทรงพลซึ่งนั่งอยู่ตรงโต๊ะทำงานเอ่ยทักเมื่อเห็นลูกชายเดินเข้าบ้าน
“พ่อยังไม่นอนอีกเหรอ ทำอะไรอยู่” วีรากรเพิ่งตระหนักว่าตนเองยิ้มอยู่ จึงคลายริมฝีปากให้กลับสู่ภาวะปกติ
“บ๊ะ ยังไม่สองทุ่มด้วยซ้ำจะให้เข้านอน นี่นั่งดูข่าวอยู่” เขาพยักพเยิดไปทางหน้าจอแท็บเลตที่ใช้เปิดดูข่าวทางออนไลน์ เนื่องจากที่บ้านนี้ไม่มีโทรทัศน์
“ผมไปอาบน้ำก่อนนะ” ชายหนุ่มเดินลึกเข้าไปด้านในบ้าน
“อ้าว เดี๋ยวสิ ตกลงแกอารมณ์ดีเรื่องอะไร”
ไม่มีเสียงตอบจากลูกชายนอกจากเสียงกุกกักจากการรื้อข้าวของ อึดใจถัดมาวีรากรก็เดินถือเสื้อผ้าเข้าห้องน้ำไป ขณะที่ทรงพลหรี่ตาลงเล็กน้อยอย่างใช้ความคิด
จะว่าไปเมื่อกี้เหมือนจะได้ยินเสียงคนคุยกันแว่วๆ และแถวนี้ก็ไม่มีใครอื่นนอกจากปริยากรเสียด้วยสิ…
สองพ่อลูกตื่นเช้าตามปกติแม้จะเป็นวันหยุดและอยู่เขาใหญ่ ทั้งสองไปวิ่งออกกำลังด้วยกันอย่างที่พักหลังไม่ค่อยได้ทำบ่อยนัก ใช้เวลาแลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับการวางตัวคนดูแลปริยากร รวมถึงการพยายามดึงเธอเอาไว้ที่เขาใหญ่หลังจากนี้ ซึ่งทั้งสองเห็นตรงกันว่าคนที่สามารถจัดการเรื่องนี้ได้ดีที่สุดน่าจะเป็นบันลือ
ทั้งสองกลับมาถึงบ้านพักตอนที่สายหมอกสลายตัวไปแล้ว เปิดทางให้แสงแดดของยามเช้าสาดส่องลงมาทาบทาผืนดินเบื้องล่างอย่างเต็มที่ ตอนแรกทั้งคู่จะเข้าบ้านของตัวเอง แต่ทรงพลเหลือบไปเห็นว่าผ้าม่านของบ้านหลังกลางถูกรวบเปิดเอาไว้เขาเลยเลี้ยวไปดู ครั้นเห็นร่างโปร่งระหงกำลังยืนอยู่ตรงครัวเขาจึงเปิดประตูเข้าไปส่งเสียงทักทาย
“ไงหนูปีย่า ตื่นเช้าเชียว”
“มอร์นิ่งค่ะคุณลุง พี่วี” ปริยากรหันกลับมาทักทายเสียงใส “วิ่งกันเสร็จแล้วเหรอ นี่แสดงว่าปีย่ากะเวลาเก่งเหมือนกันนะเนี่ย เดี๋ยวอาบน้ำกันเสร็จน่าจะพอดีกับข้าวเช้านะ”
“กะเวลา? อย่าบอกนะว่าตื่นเช้าขนาดนี้เพื่อมาทำมื้อเช้าให้พวกเรา” ทรงพลร้อง
“บางทีวันหยุดปีย่าก็ตื่นมาทำข้าวเช้าให้คุณพ่อกินอยู่แล้วค่ะ อีกอย่างเมื่อคืนปีย่านอนเร็วด้วยแหละ เช้านี้ตื่นก่อนนาฬิกาปลุกอีก” เธอรีบพูด “แต่ตอนปีย่าแต่งตัวออกจากบ้านมาก็เจอคุณลุงกับพี่วีวิ่งกันแล้ว เดี๋ยวเอาไว้คราวหน้าขอปีย่าวิ่งด้วยนะ ปกติปีย่าออกกำลังกายแค่วันธรรมดาแล้วก็อยู่แค่ในยิม แต่ที่นี่อากาศดี น่าวิ่งจัง”
“ต้องบอกเจ้าวีแล้วล่ะ คราวหน้าลุงไม่น่าจะได้มาด้วยนะ”
มันเป็นจริงตามที่ทรงพลพูด เพียงแต่ปริยากรลืมไปสนิท และเมื่อคิดว่าเธอเพิ่งขอวิ่งยามเช้ากับวีรากรก็ฟังดูแปลกๆ ชอบกล ดังนั้นเธอจึงเพียงส่งยิ้มให้ชายหนุ่มก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่อง
“เช้านี้ปีย่าทำอเมริกันเบรกฟาสต์ตามที่บอกไว้ ชุดใหญ่เลย กลัวคุณลุงกับพี่วีไม่อิ่ม” หญิงสาวเอียงตัวให้ทั้งสองเห็นของบนเคาน์เตอร์ด้านหลัง “พอไหมคะ หรือเอาขนมปังปิ้งเพิ่มอีก”
“พอๆ ลุงกินไม่เยอะหรอก มีแต่เจ้าวีนี่แหละที่กินล้างกินผลาญ นี่น่ากินมากเลย ขอบใจจริงๆ ลุงโชคดีที่มาเจอหนู ถ้าอยู่กับเจ้าวีแค่สองคนเช้านี้มีหวังลุงต้องกินมาม่า”
“ที่ผ่านมาก็ผมนะที่ทำมื้อเช้าให้พ่อตลอด” สถาปนิกหนุ่มเหล่มองพ่อ ก่อนจะตวัดแขนโอบรอบไหล่รั้งให้อีกฝ่ายย้อนกลับไปทางประตู “ไปอาบน้ำ…พ่ออาบที่บ้านนู้นแล้วกัน เดี๋ยวผมมาใช้ห้องน้ำที่นี่”
“แค่นี้ขวางพ่อไม่ให้แฉความจริงเกี่ยวกับแกให้หนูปีย่าฟังไม่ได้หรอกว่ะ”
“ผมไม่ห่วงเรื่องนั้นหรอก น้องปีย่ามีวิจารณญาณมากพอ”
ปริยากรฟังสองพ่อลูกคุยกันแล้วก็อดขำไม่ได้ เธอหันไปเอาไส้กรอกลงกระทะโดยที่มุมปากยกเป็นรอยยิ้ม ไม่รู้เลยว่าพอทรงพลเดินพ้นจากหน้าบ้านไปแล้วเขาก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ กระทั่งคนเป็นลูกชายยังต้องหันไปมอง
“พ่อเป็นอะไรหรือเปล่า”
“กลับเข้าบ้านมาแล้วเจอหนูปีย่าอยู่ในครัวทำอาหารให้แบบนี้…นึกถึงตอนแม่แกยังอยู่เลยนะ”
วีรากรนิ่งไปอึดใจแล้วก็ได้แต่พยักหน้ารับ…แม่ของเขาอาจไม่ได้สดใสร่าเริงเท่าปริยากร ทว่าก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าบรรยากาศเมื่อครู่มีอะไรบางอย่างที่ชวนให้นึกถึงท่านมากจริงๆ
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน มีนาคม 65)