ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน สตรีอ่อนโยนล้วนแฝงพิษร้าย บทที่ 2
ครั้งนี้นางมีสติแจ่มชัดและทราบแน่แก่ใจดีว่าหากเขาได้สอบถามเรื่องของนางกับโม่เอ๋อร์อย่างละเอียด ก็ไม่มีทางที่ความจริงจะไม่ปรากฏ แล้วเรื่องที่นางกับโม่เอ๋อร์ปลูกถ่ายหนอนกู่เข้าสู่ร่างกาย เลือดกับลมปราณถูกนำมาใช้ทำยาพิษและถูกบังคับให้ทำเรื่องส่งกระพือเสริมความชั่วร้ายเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ ก็จะไม่อาจปิดบังได้นาน
ไม่ง่ายเลยกว่าจะมีชีวิตที่สงบสุขได้ นางอยากจะพาโม่เอ๋อร์ก้าวไปข้างหน้า ไม่อยากหันกลับไปหาเรื่องใดๆ ก็ตามที่ข้องเกี่ยวกับภูเขาซวงอิงอีก
ส่วนโม่เอ๋อร์ คงไม่อยากนึกถึงที่นั่นยิ่งกว่านางแน่นอน
“มาขอกิน ฟ้ายังไม่สาง ก็มาแล้ว” เวลานี้ แม้ว่าเด็กสาวจะกลับเข้ามาอยู่ในห้องเล็กๆ ทางด้านหลังที่นางพำนัก และฟังคำอธิบายของพี่สาวแล้ว แต่ก็ยังคงยืนกรานตามความคิดของตนเอง ยืนกรานดื้อดึงจนสองแก้มกลมป่อง
เจียงหุยเสวี่ยยิ้มฝืดเฝื่อน พูดขึ้นอีกครั้งอย่างเหลืออด “ไม่ใช่มาขอกิน เขาจ่ายเงินนะ จ่ายเงินแล้ว จึงไม่ใช่การมาขอกินดื่มเปล่าๆ แล้วก็…” หยุดไปครู่หนึ่ง “อย่าพูดเสียงดังเช่นนี้ ยังต้องสำรวมจิตใจสำหรับการฝึกเดินลมปราณทั้งวันถึงจะพักผ่อนได้ โม่เอ๋อร์มีสมาธิอยู่กับการหายใจหน่อย”
หญิงสาวและสาวน้อยนั่งขัดสมาธิหันหน้าเข้าหากันอยู่บนเตียง กำลังฝึกเดินลมปราณ นี่เป็นวิชาที่แม่นางทั้งสองต้องทำทุกวันหลังจากเก็บร้านขายโจ๊กแล้ว
แม้เจียงหุยเสวี่ยจะยังไม่เข้าใจว่าที่แท้เกิดเหตุอะไรขึ้นตอนอยู่บนลาดเขา แต่นางก็นึกถึงวิชา ‘ธาราชีวิตเชื่อมวิญญาณ’ ของหัวหน้าแม่มดแห่งเผ่าไป๋ขึ้นมาได้ วิชาการเดินลมปราณนี้มีประโยชน์คือทำให้ร่างกายนางได้รับการชำระล้างจนบริสุทธิ์ นางจึงจับโม่เอ๋อร์ให้มาปฏิบัติด้วยกัน
หลังจากผ่านพ้นนรกขุมนั้นบนลาดเขามาได้ ดูเหมือนว่าหนอนกู่พิษภายในร่างกายของโม่เอ๋อร์จะเกิดการเปลี่ยนแปลง ภายในร่างกายของเด็กสาวที่เป็นดังเช่นสมรภูมินี้ จากไฟสงครามที่ลุกโชติช่วงกลายเป็นการลดธงลั่นกลองพักรบ และจากเสียงที่ดังสนั่นเลื่อนลั่นปฐพีกลายเป็นเงียบงันดุจนรกขุมอเวจี ทุกอย่างล้วนเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
เพราะฉะนั้นนางจึงให้โม่เอ๋อร์ฝึกวิชา ‘ธาราชีวิตเชื่อมวิญญาณ’ ด้วยกัน
ตอนนี้หนอนกู่พิษถูกสะกดเอาไว้ หากเพียรพยายามฝึกเดินลมต่อไป บางทีอาจมีสักวันที่สามารถชำระล้างเลือดเนื้อให้สะอาดบริสุทธิ์ได้จริงๆ
การพาโม่เอ๋อร์นั่งสมาธิฝึกหายใจเข้าและออกนั้นไม่ใช่เรื่องยาก โม่เอ๋อร์มีสมาธิดีกว่าคนทั่วไป ทั้งยังเชื่อฟังนางอย่างยิ่ง ฝึกเดินลมเพียงวันเดียวก็ได้ผลรุดหน้าไปไกล จากที่เคยหน้าตาซีดเซียวและผ่ายผอมราวกับว่าหากฟันลำตัวทีเดียวก็ขาดกลายเป็นดูเนียนใสอ่อนวัย แม้ว่าจะยังคงผอมแคระแกร็นเป็นอย่างมาก แต่ใบหน้าเล็กๆ อันงดงามก็ดูสดใสเปล่งปลั่ง ดวงตาเป็นประกาย ทำให้ผู้ที่ริเริ่มถางทางให้อย่างนางปลาบปลื้มใจเป็นอย่างมาก
แต่ว่าวันนี้ดรุณีน้อยกลับไม่มีสมาธิเอาเสียเลย ก่อกวนนางจนพลอยจิตใจไขว้เขวไปด้วย
พอมาตอนนี้โดนเจียงหุยเสวี่ยดุ โม่เอ๋อร์ที่ถือเอาคำพูดของพี่สาวเป็นกฎเหล็กมาตลอดจึงยอมหลับตาลงอย่างขุ่นเคืองแง่งอน
หายใจเข้า หายใจออก แล้วก็หายใจเข้า แล้วก็หายใจออก โม่เอ๋อร์หายใจเข้าและออกซ้ำแล้วซ้ำอีก แล้วอารมณ์ก็ปะทุขึ้นมา ไม่อาจอดกลั้นอีกต่อไป เด็กสาวพลันลืมตาขึ้นมาร้องโวยวายอย่างไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น…
“ไม่จ่ายเงิน! จ่ายค่าโจ๊ก แต่ไม่จ่ายค่าขนมแป้งนึ่ง! ขนมแป้งนึ่งพุทราเชื่อมเป็นของโม่เอ๋อร์ ไม่ใช่ของเขา พี่สาวทำมาให้โม่เอ๋อร์กิน ไม่ได้ทำมาให้เขา แต่เขามากิน มาขอกิน!” ราวกับรู้สึกเสียเปรียบเป็นอย่างมาก ดวงตาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ
คราแรกเจียงหุยเสวี่ยชะงักไป ความคิดหมุนคว้าง จากนั้นจึงค่อยเข้าใจว่าที่ดรุณีน้อยอาละวาดคือเรื่องอะไร
ท่านเมิ่งมารอกินโจ๊กตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสาง ในวันเหล่านี้นางจำได้แล้วว่ามีอยู่สามวันที่ในครัวมีขนมแป้งนึ่งพุทราเชื่อมเหลืออยู่พอดี หลังจากที่ท่านเมิ่งกินโจ๊กขาวห้าสหายเป็นอาหารเช้าแล้ว นางจึงให้ขนมแป้งนึ่งพุทราเชื่อมจานเล็กๆ กับอีกฝ่ายเป็นของว่างหลังอาหาร
วันนั้นที่กระโดดลงมาจากผาอิงจุ่ย นางกอดโม่เอ๋อร์ไว้ บอกว่ารอให้กระโดดลงไปแล้วนางจะทำขนมแป้งนึ่งพุทราเชื่อมมาให้กินเองกับมือ หลังจากนั้นนางผู้เป็นพี่สาวก็ทำตามคำสัญญานี้ แล้วยังทำขนมอีกตั้งหลายครั้ง เพราะว่าโม่เอ๋อร์ชอบมาก จนขนมแป้งนึ่งพุทราเชื่อมกลายเป็นขนมโปรดประจำตัวของสาวน้อย
นางค่อยนึกได้ ว่านั่นก็คงจะเป็นขนมโปรดประจำตัวของท่านเมิ่งเช่นกัน
สีหน้ายามที่บุรุษผู้นั้นกินขนม ดวงตาดั่งขุนเขาหรี่ลงเล็กน้อย เคี้ยวอย่างช้าๆ ลิ้มรสชาติในปากอย่างตั้งอกตั้งใจ
นางยังแอบมองดูทุกครั้งที่เขากลืนขนมคำสุดท้ายลงไป เขาจะทำริมฝีปากให้ชุ่มราวกับยังต้องการจะกินต่อ ถึงขั้นแลบลิ้นออกมาเลีย หลังจากนั้นก็จะหลุบตาลงมองจานเปล่าอยู่สักพัก
ที่แท้ท่านเมิ่งที่เป็นถึงมือปราบเทวดาก็ชื่นชอบของหวาน ทุกครั้งที่นึกถึงเขายามกินขนมแป้งนึ่งพุทราเชื่อม ใจนางมักจะอ่อนยวบ มุมปากหยักยิ้มขึ้นมา
ว่าตามจริงแล้ว ความเปลี่ยนแปลงบนสีหน้าที่เขาแสดงออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจนั้นเหมือนกับของโม่เอ๋อร์ ดูเอร็ดอร่อยอย่างแท้จริงและพออกพอใจราวกับอยากทอดถอนชื่นชม ทั้งยังทำให้คนรู้สึกสงสารอย่างบอกไม่ถูก
เด็กสาวเพียงแค่รู้สึกว่าตัวเองถูก ‘แย่งกิน’ จึงมาโวยวายกับนาง
การฝึกวิชาในวันนี้ผ่านไปได้เพียงครึ่งทาง ก็ยากที่จะสงบจิตใจ เจียงหุยเสวี่ยจึงหยุดในทันที แล้วเอื้อมมือไปหยิกแก้มนุ่มนิ่มของสาวน้อย กล่าววาจาชวนหัวว่า “โม่เอ๋อร์ของเรานี่กินจนเริ่มมีเนื้อมีหนังแล้ว หยิกสนุกจริงๆ แต่ว่ากินขนมแทนข้าวแล้วยังกินเป็นของว่างยามดึก วันทั้งวันก็กินแต่ของหวานไม่หยุดเช่นนี้ สักวันโม่เอ๋อร์ต้องกลายเป็นตัวอ้วนกลมจนเบียดพี่สาวตกจากเตียง แล้วทีนี้พี่สาวจะไปนอนที่ใดดีเล่า”
“ยังไม่อ้วนกลมนะ ไม่สักหน่อย!” ใบหน้างดงามบวมป่องยิ่งกว่าเดิม หยิกสนุกจริงๆ
เจียงหุยเสวี่ยยิ้มไม่หยุด ลูบหัวของเด็กสาว “โม่เอ๋อร์ ท่านเมิ่งผู้นั้นเขาเป็นคนดี เป็นคนดีมากๆ เขาดีต่อพวกเรา มีบุญคุณต่อพวกเรา เป็นผู้มีพระคุณของข้ากับโม่เอ๋อร์…พวกเรา…ต้องตอบแทนบุญคุณ แล้วก็ต้องดีต่อเขานั่นถึงจะถูก” นางพูดให้ใจความสั้นลง อธิบายอย่างเรียบง่าย ไม่ได้บอกว่าบุญคุณนั้นได้มาตั้งแต่เมื่อใด เพราะไม่อยากให้ดรุณีน้อยไปนึกถึงเรื่องเก่าๆ อีก
โม่เอ๋อร์เงียบงันไม่เอ่ยคำไปครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า “คืนของสิ่งนั้นให้เขา ก็จะ…ก็จะนับว่าตอบแทนบุญคุณแล้ว”
เจียงหุยเสวี่ยเลิกคิ้ว “ของสิ่งใด”
ร่างเล็กๆ นั้นคลานไม่กี่ก้าวลงมาจากเตียงยาว หยิบของสิ่งหนึ่งออกมาจากหีบเสื้อผ้าที่หัวเตียง ส่งถึงเบื้องหน้าของพี่สาว “สิ่งนี้”
นั่นคือเสื้อคลุมตัวยาวสีดำของบุรุษ ผ้าเนื้อหนาลูบแล้วให้เนื้อสัมผัสหยาบ แต่ว่าเก็บความอบอุ่นได้ดี
เจียงหุยเสวี่ยสูดหายใจอย่างหนาวเหน็บ มองดูเสื้อคลุมตัวใหญ่นั้นที่โม่เอ๋อร์หยิบออกมากางต่อหน้านาง…
นี่เป็นเสื้อคลุมตัวใหญ่ที่เมิ่งอวิ๋นเจิงเอามาคลุมบนไหล่ของนาง เพื่อปกปิดร่างกายที่เปล่าเปลือยและให้ความอบอุ่นกับพวกนางทั้งสอง
สมองพลันสว่างวูบ นางช้อนตามองดูสาวน้อย พูดเสียงเบาอย่างดีอกดีใจ…
“ที่แท้โม่เอ๋อร์ก็รู้อยู่แล้ว เจ้าจำเขาได้ด้วย”
นางคิดว่าในวันที่น่าอกสั่นขวัญแขวนวันนั้น ร่างน้อยๆ ของโม่เอ๋อร์เอาแต่ขดอยู่ในอ้อมอกนาง ตัวสั่นงันงกจนไม่ยอมมองและไม่กล้ามองอะไรเลย แต่ที่จริงแล้ว เด็กสาวก็แอบมองดูว่าผู้ที่เป็นเจ้าของเสื้อคลุมหน้าตาเป็นอย่างไร และจำได้ขึ้นใจ…
โปรดติดตามตอนต่อไป…