ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน สตรีอ่อนโยนล้วนแฝงพิษร้าย บทที่ 3
เมิ่งอวิ๋นเจิงส่งเสียงรับคำ แล้วเอ่ยขึ้น “มารดาข้าได้ยินมาว่าเรียนวิชาการต่อสู้ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง มารดาจึงให้ข้าไปเรียนวิชายุทธ์จากอาจารย์พร้อมกับเด็กคนอื่นๆ ในตรอกซงเซียงตั้งแต่ข้าอายุยังไม่ครบห้าขวบ ตอนนั้นมู่เจิ้งหยางอาจารย์ข้าเป็นถึงมือปราบเทวดา รับตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มสี่ปักษีของหน่วยประตูหกบาน ไม่ว่างานของทางการของท่านผู้เฒ่าจะรัดตัวเพียงใด ขอเพียงคนยังอยู่ในเมืองหลวง ก็จะหาเวลาว่างมายังตรอกซงเซียงเพื่อชี้แนะวิชาการต่อสู้ให้กับเด็กๆ ข้าฝึกวิชาร่วมกับพวกเขาเป็นเวลาสองปี พออายุเจ็ดขวบค่อยกราบอาจารย์อย่างเป็นทางการ พอข้าอายุครบสิบปี มารดาข้าล้มป่วยอย่างกะทันหันเพราะพิษความเย็น ไม่อาจอยู่จนพ้นฤดูหนาว ปีนั้นเองข้าจึงย้ายออกจากตรอกซงเซียงไปอยู่ที่จวนสกุลมู่ คอยติดตามอยู่ข้างกายอาจารย์”
เขาอธิบายจบแล้ว แต่ว่าสีหน้าท่าทางของหญิงสาวยังคงลุ้นระทึก ราวกับกำลังรอให้เขาขยายความให้มากขึ้นอีก
เขาหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสริมว่า “…ภายหลังข้าทั้งร่ำเรียนวิชายุทธ์ทั้งติดตามอาจารย์ไปทำงานทั่วทุกหนแห่ง จนได้รับตำแหน่งราชการ ราชสำนักจึงปูนบำเหน็จให้เป็นเรือนหลังหนึ่ง ที่นั่นจึงกลายเป็นที่อยู่ของผู้แซ่เมิ่งยามกลับมาเมืองหลวงในทุกวันนี้”
เจียงหุยเสวี่ยจึงถามเข้าประเด็นในรวดเดียว “อย่างนั้นตอนท่านยังเด็ก สถานที่ที่ท่านอยู่อาศัยกับมารดาในตรอกซงเซียงยังคงอยู่หรือไม่”
เขาแสดงสีหน้าประหลาดพิกลออกมาอีกครั้ง เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ “พื้นที่เดิมยังคงอยู่ ตัวบ้านก็ยังคงอยู่ คือที่ที่เจ้ากับน้องสาวพักพิงอาศัยในตอนนี้”
แม้ว่าจะพอเดาได้บางส่วนแล้ว แต่พอได้ยินคำตอบยืนยันจากปากเขา อกซ้ายของนางพลันเต้นแรง
เมิ่งอวิ๋นเจิงเอ่ย “หลังจากออกติดตามอาจารย์ร่ำเรียนวิชายุทธ์และว่าราชการ ก็ไม่ค่อยได้กลับไปพักอาศัยที่เรือนหมู่อีก แต่หลายปีมานี้ได้ตาเฒ่าเฉียวและท่านยายเฉียวช่วยดูแลให้ เมื่อหลายเดือนก่อน ท่านยายเฉียวมาบอกข้าว่าห้องหับถ้าไม่มีคนอยู่อาศัยจะทรุดโทรมได้ง่าย มิสู้ปล่อยให้เช่าดีกว่า ข้าจึงตกปากรับคำไป แล้วฝากฝังให้ท่านยายเป็นคนจัดการ พอกลับมาเมืองหลวงครานี้ พวกเจ้าก็เข้ามาอยู่ที่นั่นแล้ว ท่านยายเฉียวยังนำเงินค่าเช่าห้องมาให้ข้า ข้าให้นางเก็บไว้เองทั้งหมด ไม่ขอรับส่วนแบ่งแม้สักครึ่ง” ลูกกระเดือกเขาเคลื่อนไหวอย่างชัดเจน “ห้องเล็กแห่งนั้นในเรือนหมู่คือบ้านเก่าของผู้แซ่เมิ่งเอง ข้านึกว่าแม่นางทราบอยู่แล้ว กลับกลายเป็นไม่ทราบมาก่อนเลยหรือ”
เจียงหุยเสวี่ยส่ายหน้าเพียงเล็กน้อย แล้วก็ส่ายหน้าซ้ำอีก
นี่คือวาสนาเช่นไรกัน
วันนั้นนางกระโดดลงจากภูเขาซวงอิงก็ได้รับความช่วยเหลือจากเขา มีเขาคอยดูแลอย่างลับๆ พอออกเดินทางไกลจากชายแดนตะวันตก มายังเมืองหลวงอันเจริญรุ่งเรือง พบเจอผู้คนและสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับเขาโดยสิ้นเชิง แต่กลับได้มาพบพานกันอีกครั้ง เช่นนี้ก็แล้วไป นางคาดไม่ถึงว่าจะได้เกี่ยวพันกับเขาลึกซึ้งเช่นนี้ เพราะที่ที่นางกับโม่เอ๋อร์เข้ามาลงหลักปักฐานกลับเป็นสถานที่ที่สำคัญเอามากๆ ของเขา!
นางพูดขึ้นช้าๆ “เหมือนท่านยายเฉียวเคยบอกว่านางช่วยดูแลที่นั่นให้ผู้อื่น ข้าก็คิดว่าคนที่นางช่วยคงจะเป็นญาติของนาง จึงไม่ได้ถามให้มากความ…ค่าเช่าห้องก็ราคาถูกมาก เมื่อมาพักอาศัยแล้ว แม้แต่ส่วนเล็กๆ ที่ยื่นออกมาของแผงด้านหน้าร้านเฉียวจี้ยังยกให้ข้าใช้ขายโจ๊ก โต๊ะเก้าอี้และหม้อชามภาชนะทุกอย่างในร้านก็มีพร้อม ไม่จำเป็นต้องออกค่าใช้จ่ายอะไรเลย ประหยัดแรงไปตั้งมาก ข้าคิดจะจ่ายเงินเพิ่ม แต่ว่าบ้านสกุลเฉียวไม่ยอมรับเอาไว้…ที่ท่านตาและท่านยายเฉียวดูแลอย่างใจกว้างเช่นนี้ ข้าว่าคงเป็นเพราะท่านเมิ่งไม่ยอมรับเงินส่วนแบ่ง เช่นนี้แล้วความกรุณาจึงมาตกอยู่ที่ข้า ผู้เฒ่าทั้งสองรับเพียงเงินค่าเช่า แล้วก็สรรหาแต่สิ่งดีๆ มาให้ข้า”
เมิ่งอวิ๋นเจิงได้ยินดังนั้นก็ยกมุมปากขึ้น เค้าโครงใบหน้ายังคงเฉยชาดังเดิม แต่คิ้วและดวงตาหล่อคมเคร่งขรึมกลับเป็นประกาย “ที่นั่นพื้นที่คับแคบ หากแม่นางเจียงยินดีพาน้องสาวมาอยู่อาศัย ทำให้ทุกอย่างในบ้านเก่ากลับมามีชีวิตอีกครั้งแทนผู้แซ่เมิ่ง ข้าย่อมได้รับผลประโยชน์”
“ที่นั่นดีมาก เป็นที่ที่ดีที่สุดที่ข้ากับโม่เอ๋อร์เคยอยู่มา” นางลิ้นพันกันเล็กน้อย สองแก้มแดงขึ้นอีกครั้งและค้อมศีรษะลง
ได้ยินคำพูดเช่นนี้ คิ้วของเมิ่งอวิ๋นเจิงขมวดเล็กน้อยแทบสังเกตไม่ออก คิดอยากจะถามรายละเอียดให้มากขึ้นแต่ก็กลัวว่าจะล่วงเกิน สุดท้ายจึงเอ่ยขึ้นว่า “แม่นางเจียงอยู่จนคุ้นเคยเช่นนั้นก็ดีแล้ว บ้านพักอาศัยเก่าของข้าต้องฝากแม่นางเจียงดูแลแล้ว ส่วนเรื่องที่ท่านยายเฉียวนึกคิดเช่นนั้น ต้นเหตุเป็นเพราะข้า ทำให้ชื่อเสียงของแม่นางเสียหาย ภายหน้าข้าจะไม่…”
“ท่านเมิ่งอย่าได้เลิกมา!”
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นในทันที กระแทกวาจาใส่เขา เสียงของเมิ่งอวิ่นเจิงจึงชะงักในทันใด เห็นใบหน้าของนางเป็นสีแดงซ่าน ใบหูของตนเองก็เห่อร้อนขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ
“แม่นางเจียง ข้า…”
“ทุกวันที่ท่านเมิ่งมากินโจ๊ก ข้าเองก็รอคอยให้ท่านมาหา ข้าชอบท่าทางตอนกินโจ๊กของท่าน มองแล้ว รู้สึกจิตใจสงบดี รู้สึกว่าไม่เสียแรงที่ทำโจ๊กชามนั้นขึ้นมา” ริมฝีปากนางสั่นระริก แต่ดวงตากลับสงบนิ่งมั่นคง มีเพียงสองแก้มที่แดงราวกับว่าเลือดจะไหลออกมา “…ท่านเมิ่งอย่าได้เลิกมา ข้าไม่สนว่าผู้อื่นจะพูดเช่นไร หวังว่าท่านเมิ่งก็จะไม่ใส่ใจเช่นกัน พวกเราทั้งสอง…ในเมื่อพวกเราทั้งสองไม่มีเรื่องระหว่างชายหญิง และได้คุยกันให้กระจ่างแล้ว ข้าก็ตัดสินใจแล้วว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามเดิม ไม่จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงใดๆ ทั้งสิ้น”
ปกติแล้วเมิ่งอวิ๋นเจิงมักจะไม่ค่อยพูด และไม่เคยมีช่วงเวลาที่พูดอะไรไม่ออกมาก่อนเลย