ในอกเขาเหมือนมีลมปราณติดขัด จะขับลมออกก็ไม่ได้ จะไม่ขับออกก็ไม่ได้ทั้งที่ไม่มีลมจะให้ขับแท้ๆเขาเองก็ไม่แน่ใจเช่นกัน ได้แต่จับจ้องใบหน้าของหญิงสาวที่ยังคงแดงฉานและพยายามรักษาความเยือกเย็นเอาไว้สุดฤทธิ์
เขาคิดว่าเขาต้องพูดอะไรเสียบ้าง
นางพูดความในใจออกมาหมดแล้ว ควรจะเป็นทีของเขาที่ต้องตอบรับบ้าง เพราะฉะนั้นต้องพูดอะไรเสียบ้างถึงจะถูก
พูดขอบคุณนางอย่างเรียบง่ายธรรมดาสักคำก็ยังดี ดีกว่าจ้องนางแน่นิ่งไม่ส่งเสียงแม้สักครึ่งคำ
หน้าผากเขาเชิดขึ้นเล็กน้อยพลันฉุกคิดได้ว่าสีหน้าท่าทางที่ ‘ไม่กล่าววาจา เอาแต่จ้องมองคน’ ของตนนี้ดูเย็นชาไร้อารมณ์อย่างยิ่ง แต่ก็ช่วยไม่ได้ เขาจ้องมองพวกโจรขโมยจนชิน แค่มองเพียงครั้งเดียวก็ทำให้คนชั่วสารภาพความจริงอย่างเชื่องเชื่อและคุกเข่าร้องขอขมา แต่เขาไม่มีเจตนาจะจ้องมองนางเช่นนั้น เขาแค่…แค่…
“แม่นางเจียง ข้า…”
“ศิษย์พี่ใหญ่ถืออะไรอยู่ในมือหรือ” พร้อมกันนั้น เสียงสดใสของสตรีก็ดังขึ้นที่ข้างหลังเขา คนผู้นั้นแย่งตะกร้าไม้ไผ่ที่เขาถือไว้ในมืออย่างหลวมๆ ไปโดยไม่บอกไม่กล่าว พอกระโดดออกห่างแล้วก็เปิดผ้าที่คลุมด้านในออกทันที
“อะไรน่ะ อะไร”
“หอมยิ่ง! พวกเรามาดูกันเถิดว่าเป็นของดีอะไร!”
“เอ้อร์หม่าเจ้าอย่าเบียดสิ!”
“หอมขนาดนี้ต้องเป็นของกิน หากไม่รีบมาแย่ง ไม่ช้าหมดแน่นอน!”
“เจ้าเป็นผีอดอยากกลับชาติมาเกิดหรือ วันทั้งวันดีแต่จะแย่งของกิน!”
“ข้าจะแย่ง! กลัวเจ้าได้กินง่ายเกิน!”
เมื่อตะกร้าไม้ไผ่ถูกแย่งไป เมิ่งอวิ๋นเจิงก็ยืนนิ่งกับที่ไม่ไหวติง เนื่องจากผู้ที่แย่งของไปจากมือเขาคือศิษย์น้องของเขาเอง และคนหลายคนที่มาล้อมกินของในตะกร้าอย่างตะกละตะกลาม ก็เป็นสหายร่วมงานสมัยที่เขายังทำงานของทางการในหน่วยประตูหกบาน
ศิษย์น้องของเขา เป็นศิษย์น้องเพียงคนเดียวที่เขามีอยู่ นางแซ่มู่นามไคเวย เป็นบุตรีของอาจารย์ผู้มีพระคุณ อายุน้อยกว่าเขาเพียงสองเดือน
เขากับศิษย์น้องเรียนหนังสือฝึกปรือวิชายุทธ์และเติบโตมาด้วยกัน ยามมีเรื่องวิวาทก็สู้เคียงกัน ยามมีภัยก็ร่วมกันเผชิญ มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน ยามนี้นางมาแย่งตะกร้าไปจากเขา ความจริงก็ไม่มีอะไร แค่ก่อกวนกันมาตั้งแต่เด็กจนเคยชิน แต่ว่า…เขากลับรู้สึกเหน็บหนาวไขสันหลัง กรามขบกันแน่น เหมือนเวลาที่ได้รับแรงกดดันจากศัตรู
สี่ปีก่อน ศิษย์น้องมู่ไคเวยอายุครบสิบห้า ก็เข้าหน่วยประตูหกบานเพื่อฝึกฝน ทุกวันนี้ หญิงสาวร่างอ้อนแอ้นไปคลุกคลีกับบุรุษร่างสูงใหญ่ทั้งกลุ่มจนกลายเป็นพี่น้องชาวยุทธ์ที่แท้จริง อากัปกิริยาจึงดูยิ่งโลดโผน
“เป็นขนมแป้งนึ่ง!” มู่ไคเวยโห่ร้องดีใจ หยิบขึ้นมาโดยไม่ถามไถ่และส่งเข้าปากทันที
“อืม อืม…อร่อย กลิ่นพุทราเชื่อมหอมมาก อร่อยมาก!”
หากตะกร้าไม้ไผ่ยังอยู่ในมือของเมิ่งอวิ๋นเจิง มือปราบน้อยใหญ่ทั้งหลายของหน่วยประตูหกบานอาจจะยังไม่กล้าก่อความวุ่นวาย แต่พอตะกร้าถูกมู่ไคเวยแย่งไป ทั้งยังเป็นคนเปิดกินก่อน ชายฉกรรจ์ในชุดเจ้าหน้าที่ของทางการอีกห้าหกคนก็เปิดศึกแย่งของกินกันในทันที ‘สถานการณ์ศึก’ ดุเดือดมาก…
“เถี่ยต่าน เจ้าอายเป็นหรือไม่ ของมาถึงปากแล้ว ยังเอานิ้วมาล้วงอีก!”
“ครั้งก่อนกินขนมโก๋นึ่งถั่วแดงของท่านยายหลิวที่ถนนตะวันออก ข้าเอาเข้าปากแล้ว เจ้าก็ทำพิเรนทร์เช่นนี้!”
“ต้าจิ่งเจ้าสารเลว ไวมากนักหรือ ได้! ต่อยก็ต่อย พวกเราลุย!”
“มัวต่อยตีอะไรกัน ของจะหมดแล้วนา!”
“มารดามันเถิด เช่นนี้ไม่ถูกต้อง!”
“หยิบก่อนชนะ ใครถกความถูกต้องกับเจ้ากัน!”
คำกล่าวที่ว่า ‘สองผลท้อฆ่าสามขุนพล’ ได้ฉันใด ขนมแป้งนึ่งพุทราเชื่อมก็ทำให้เหล่ามือปราบที่เดียดฉันท์ความชั่วและซื่อสัตย์ปราดเปรียวของหน่วยประตูหกบานบาดหมางกันเองได้ฉันนั้น