มู่ไคเวยที่เป็นคนส่งขนมแป้งนึ่งเข้าปากเป็นคนแรก กลับปล่อยตะกร้าไม้ไผ่ แล้วเดินออกมาจากวง
หญิงสาวสวมชุดเจ้าหน้าที่ทางการรูปร่างไม่สูงนัก มีท่าทีดูพึงพอใจเป็นอย่างมาก มู่ไคเวยเดินด้วยฝีเท้ามั่นคง เงาร่างปราดเปรียว มายืนกระทบไหล่ที่ข้างกายเมิ่งอวิ๋นเจิง
“ขนมแป้งนึ่งพุทราเชื่อมตะกร้านั้นเป็นแม่นางทำเองกับมือหรือ” มู่ไคเวยถามและยิ้มให้สตรีที่งดงามตรงหน้า หญิงสาวลิ้มรสของน้ำผึ้งบนริมฝีปากและในซอกฟันแล้วแสดงความเห็น “หวานแต่ไม่เลี่ยน หอมนุ่มละมุนละไม อร่อยมาก ข้ากล้ารับรองเลยว่าศิษย์พี่จะต้องชอบแน่นอน”
เมื่อลงหลักปักฐานในเมืองหลวง เจียงหุยเสวี่ยย่อมเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของมู่ไคเวยมาก่อน อีกฝ่ายเป็นสตรีเพียงคนเดียวในหน่วยประตูหกบาน แต่ฝีไม้ลายมือในการปฏิบัติหน้าที่นั้นเรียกได้ว่ารวดเร็วดุจสายฟ้าวายุ ทั้งกล้าหาญและเจ้าแผนการ การกระทำยิ่งคล่องแคล่วว่องไวกว่าเหล่าบุรุษ หลายวันก่อน นักเล่านิทานที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามแต่งเรื่องของมู่ไคเวยจนกลายเป็นผลงานอีกหลายชิ้น และนำไปเล่าอย่างออกรสตามโรงน้ำชาหอสุรา ด้วยเหตุนี้หญิงสาวจึงได้รับฉายาในยุทธภพเพิ่มโดยปริยาย เรียกว่า ‘อสุราหน้าหยกแห่งเมืองหลวง’
ยามนี้หญิงสาวร่างอ้อนแอ้นที่ได้ฉายาว่าอสุราหน้าหยกแห่งเมืองหลวงผู้นั้นกำลังส่งยิ้มให้นาง คิ้วตากระจ่างใสมองมาตรงๆ รอยยิ้มเปิดเผยจริงใจให้ความเป็นมิตรยิ่ง แต่ใจของเจียงหุยเสวี่ยกลับสั่นสะท้าน ก้มหน้าลงโดยไม่รู้ตัว
“ชอบก็ดีแล้ว ขอบคุณแม่นางมู่ที่ชื่นชม ขอบคุณทุกท่านที่อุดหนุนชมเชย” นางเอ่ยเสียงเบา กล่าวจบก็ไม่มองไปทางพวกเขาศิษย์พี่น้องอีก เพียงย่อกายคารวะ “ข้าควรกลับได้แล้ว พรุ่งนี้ท่านเมิ่งออกเดินทาง ขอให้ทุกสิ่งราบรื่น ทุกอย่างเรียบร้อยปลอดภัย” นางโน้มศีรษะคารวะอีกครั้ง หมุนกายเดินไปทางเด็กๆ ที่กำลังเล่นกันอย่างสนุกสนานในที่ห่างออกไปไม่ไกล และมองหาเงาร่างของโม่เอ๋อร์ แต่ว่าข้างหลังนาง มีสายตาของหญิงชายคู่หนึ่งยังคงจับจ้องนางอยู่
“ศิษย์พี่ ข้าไปทำให้ผู้อื่นตื่นตกใจหรือไม่” มู่ไคเว่ยมีสีหน้าว้าวุ่นใจ เอามือเท้าเอว แล้วยืนด้วยท่าทางห้าวหาญท้าทายฟ้าดิน
บุรุษที่อยู่ด้านข้างไม่พูดสักคำ ยกแขนขึ้นมาสอดประสานกันที่หน้าอก ทันใดนั้น เงาร่างสูงใหญ่ก็แผ่รัศมีความกดดันที่ไร้รูปร่างออกมา
มู่ไคเวยถอนสายตากลับมาจากร่างของหญิงสาวที่วิ่งจากไปเพราะถูกทำให้แตกตื่น เลื่อนมามองทางศิษย์พี่ของตน แล้วก็เปิดปากพูด…
“เอ่อ…วันนี้กลุ่มของพวกข้ารับผิดชอบเฝ้าเวรยามที่เฉิงเป่ย นานๆ ทีจะเห็นท่านเดินอยู่กับแม่นางสักคนนี่นา ข้าเปล่าทำอะไรนะ ก็แค่จะ…สืบดูว่ามันเป็นมาอย่างไรกัน จะบอกกับผู้อื่นแค่ไม่กี่ประโยคว่าให้ดีต่อท่านสักหน่อย ในเมื่อเป็นเช่นนี้…ศิษย์พี่อย่าเงียบสิ ท่านเอาแต่จ้องไม่ยอมพูด ข้าเห็นแล้วรู้สึกปวดท้อง ช้าก่อน! หรือว่าจะเป็นเพราะขนมแป้งนึ่งพุทราเชื่อมตะกร้านั้น?” เอ๋? นางพูดตรงจุดแล้วสินะ!
เห็นสถานการณ์เป็นเช่นนั้น มู่ไคเวยก็รีบยกแขนตรง ชี้ไปยังสหายหน่วยประตูหกบานที่เพิ่งแย่งชิงของกินเสร็จ แล้วตะโกนเสียงโหยหวน “ข้ากินไปแค่ชิ้นเดียวชิ้นเล็กๆ เป็นชิ้นที่เล็กมากๆ จริงๆ นะ แค่พอลิ้มรสชาติเท่านั้นเอง ที่เหลือทั้งหมดเป็นพวกเขามาแย่งไป ศิษย์พี่โกรธแล้วก็ไปลงที่พวกเขาสิ ข้าเป็นหนึ่งในผู้บริสุทธิ์นะ”
“เอ๊ะ?”
“เอ๋?”
“หืม?”
“หา!”
“เอ่อ…”
เหล่าชายฉกรรจ์น้อยใหญ่ทั้งหลายที่กวาดขนมแป้งนึ่งจนหมดยังไม่ทันได้เลียหรือเช็ดคราบน้ำตาลที่เปื้อนรอบปากให้สะอาด ก็ถูกสายตาที่ลุกเป็นไฟของบุรุษจ้องจนขนลุกชัน เสียงที่เปล่งออกจากลำคอล้วนเป็นเสียงร้องอย่างตื่นตระหนกหนึ่งคำ
โปรดติดตามตอนต่อไป…