บทที่ 5
เขาไม่ได้มารอโจ๊ก
เขากลับมาเมืองหลวงคืนนี้ ถือป้ายอาญาสิทธิ์สีนิลขอเข้าเมือง เพียงเพื่อที่จะกลับจวนปลดอานปล่อยม้าไปพัก เมื่อเห็นของเล่นทำจากไม้ที่อยู่ในกระสอบหลังอานม้า ไม่ทันคิดอะไรก็วิ่งมาที่นี่ พอเข้ามาถึงเรือนหมู่แล้วค่อยฉุกคิดว่าทำเช่นนี้ช่างบุ่มบ่ามยิ่งนัก
บานประตูของบ้านเก่าปิดลงแล้ว หน้าต่างเล็กที่แง้มไว้มีแสงเทียนน้อยนิดลอดออกมา คนข้างในคงจะขึ้นเตียงนอนไปแล้ว เขาไม่คิดจะเข้าไปรบกวน แต่นึกไม่ถึงว่านางจะมาปรากฏตัวที่ริมหน้าต่าง แล้วยังมองผ่านๆออกมาข้างนอก
เจียงหุยเสวี่ยรู้ว่าเขาไม่ได้มารอโจ๊ก แต่ถ้าไม่ได้มาเพื่อโจ๊ก แล้วมาเพื่ออะไรกันเล่า
ที่นี่เป็นบ้านเก่าของเขา เป็นที่ที่เขาเคยพักพิงและใช้ชีวิตร่วมกับมารดา อาจจะรู้สึกตัดไม่ขาด ตอนนี้พอปล่อยเช่าแล้ว จึงมักจะมาที่นี่อยู่บ่อยครั้งเพื่อเยี่ยมเยือน?
แม้จะไม่ได้มารอโจ๊ก แต่ว่าท้องของใต้เท้าพลันร้องเสียงดัง
เจียงหุยเสวี่ยไม่แน่ใจว่าเขาหน้าแดงหรือไม่ แต่แน่ใจว่าสองแก้มของตนร้อนลวก เนื่องจากโม่เอ๋อร์ลุกจากเตียงลงมายืนอยู่ข้างนางแล้ว ตอนที่ท้องของบุรุษส่งเสียงดังปาน ‘ฟ้าร้อง’ โม่เอ๋อร์พลันจับมือนางแน่นราวกับถูกทำให้ตกใจ แล้วชูแขนผอมบางชี้ไปยังช่วงท้องของบุรุษ เงยใบหน้าเล็กขึ้น ดวงตาจับจ้องนาง
นางค่อยเข้าใจความหมายของโม่เอ๋อร์ ดรุณีน้อยตกใจอย่างมาก ทั้งตกใจและอัศจรรย์ใจ เพราะไม่เคยได้ยินเสียงท้องคนดังปานลั่นกลองเช่นนี้มาก่อน จึงดึงมือชวนให้นางดูเพื่อ ‘แบ่งปัน’ เรื่องน่าอัศจรรย์เช่นนี้กับนางผู้เป็นพี่สาว
สุดท้ายนางจึงอดถามขึ้นไม่ได้ว่า…
“ท่านเมิ่งเพิ่งกลับมาถึง จึงกินอาหารเย็นไม่ทันใช่หรือไม่”
เขาทาบฝ่ามือใหญ่ลงบนท้อง ตอบคำกลั้วหัวเราะ “ ใช่ ข้ากินอาหารเย็นไม่ทันจริงๆ”
เช่นนั้นก็รีบไปกินเถิด! ความจริงนางควรจะพูดออกไปเช่นนั้น แต่รู้สึกใจอ่อนยวบ สิ่งที่หลุดออกมาจากปากกลับเป็น…
“ในครัวยังมีข้าวกับแกงเต้าหู้เหลืออยู่ นอกจากนี้ยังมีผักดองที่ท่านอาชุนเอามาให้ ทำเป็นข้าวต้มหม้อไฟใช้เวลาไม่นาน หากท่านเมิ่งไม่รังเกียจ จะกินของพวกนี้ได้หรือไม่”
ใต้แสงจันทร์สีขาว บุรุษผู้นั้นเพิ่งจะหยักมุมปากขึ้นอย่างอ่อนโยน เค้าโครงหน้าที่เป็นเหลี่ยมมุมชัดเจนดูสลัวเลือนราง
นางเห็นเขาพยักหน้า ก้าวเท้าอย่างเชื่องช้ามาทางตนเอง
นางถอนใจเบาๆ ในอกรู้สึกปวดแปลบ ค่อยรู้ตัวว่าตนเองกลั้นหายใจรอคอย คาดหวังให้เขาปฏิเสธ แต่ก็หวังว่าเขาจะไม่ปฏิเสธ สับสนไม่เข้าใจว่านึกอยากให้เป็นเช่นไรกันแน่
แต่ว่าเขาหิวแล้ว นี่เป็นความจริงที่แน่เสียยิ่งกว่าแน่
ดังนั้นเทียนไขในครัวจึงสว่างขึ้นอีกครั้ง ไฟอ่อนที่จุดขึ้นอย่างระมัดระวังเมื่อวางฟืนลงไป ก็ลุกโชนขึ้นมาทันทีและแตกปะทุเสียงดัง ทั่วห้องอบอุ่นขึ้นทันใด
เจียงหุยเสวี่ยหยิบผักดองสามจานออกมาอย่างแคล่วคล่อง ตักข้าวที่เหลืออยู่ทั้งหมดลงในชามขอบกว้างใบใหญ่ โปรยขิงและต้นหอมลงไป แล้วราดแกงเต้าหู้ที่ต้มจนร้อนควันฉุยลงบนข้าว
“เสร็จแล้ว” เมื่อนางวางข้าวต้มหม้อไฟลงบนโต๊ะ ก็เห็นบุรุษทางหนึ่งปลดเสื้อคลุมลงช้าๆ ทางหนึ่งจ้องตากับโม่เอ๋อร์
เขานั่งบนม้านั่ง โม่เอ๋อร์กลับขดตัวอยู่ข้างเตา นั่งบนม้านั่งตัวที่เล็กกว่า
ตรงนั้นเป็นที่ประจำของโม่เอ๋อร์ บางครั้งเด็กสาวจะนอนดึกตื่นเช้าพร้อมๆ กับนาง เพราะสาวน้อยไม่กล้ากลับห้องไปนอนคนเดียว มักจะขดตัวนั่งงีบสัปหงกอยู่ตรงนั้น ที่ตรงนั้นจะมีเก้าอี้ที่เป็นของโม่เอ๋อร์ และมีโต๊ะน้ำชาธรรมดาทั่วไปอีกตัวหนึ่ง
ตอนนี้บนโต๊ะน้ำชามีของสิ่งหนึ่งซึ่งทำจากไม้วางอยู่ เจียงหุยเสวี่ยไม่เคยเห็นของเล่นนั้นมาก่อน
กลิ่นหอมของอาหารมัดตัวบุรุษที่หิวจนท้องร้องได้อยู่หมัด เมิ่งอวิ๋นเจิงถอนสายตากลับมาทันที เมื่อไอร้อนจากข้าวต้มหม้อไฟชามใหญ่ปะทะหน้าเขา หัวใจเขาก็บีบรัด
น้ำลายล้นเอ่อขึ้นมา เขาหายใจพ่นลมเข้าออกลึกๆ เพื่อระงับความซาบซึ้งใจที่ก่อตัวขึ้น
เอ่อ เป็นความประทับใจจริงๆ…