ผลของความอดทนละความมุ่งมั่นในช่วงเวลาหลายปีมานี้ของนางที่เลี้ยงดูน้องสาวจนเติบใหญ่ ทำให้สองพี่น้องที่อยู่อาศัยร่วมกันสามารถใช้ชีวิตอย่างมีเสื้อผ้าสวมใส่มีอาหารให้กิน เขาไม่เพียงชื่นชมอย่างยิ่ง เมื่อสงบใจใคร่ครวญดูแล้ว ยังมี…ความรู้สึก ‘เป็นเกียรติ’ ถึงขั้นที่…รู้สึกเหมือนว่า…ลูกสาวที่บ้านได้เติบใหญ่แล้ว?
ราวกับตนเองได้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตนาง ดูพวกนางสองพี่น้องเติบโตมาจนถึงทุกวันนี้
ฤดูร้อนมาถึงแล้ว ช่วงกลางฤดูร้อนของปีนี้อากาศร้อนจนผู้คนเหงื่อออกราวฝนตก
เช้าวันนี้เจียงหุยเสวี่ยต้มน้ำบ๊วยดองออกมาหม้อใหญ่ ตักแบ่งใส่กาดินเผาใบใหญ่ห้าใบ แล้วนำไปแช่ไว้ในบ่อน้ำ พอถึงหลังเที่ยง นางก็เกี่ยวกาดินเผาที่แช่ไว้จนเย็นขึ้นมา เตรียมตะกร้าใส่ชามใบเล็ก ใช้รถเข็นเข็นไปยังลานที่พวกเด็กๆ ใช้เรียนวิชาการต่อสู้ โดยมีโม่เอ๋อร์คอยช่วย
ผู้ที่ผ่านมาเห็นล้วนได้ดื่ม ไม่ว่าจะเป็นเหล่าเด็กที่เพิ่งเรียนการต่อสู้เสร็จ หรือว่าเป็นสมาชิกในครอบครัวที่มีเวลาว่างมานั่งอยู่ใต้เงาร่มไม้ด้านข้างลาน ขอเพียงผ่านเข้ามา ต่างก็ได้รับน้ำบ๊วยดองแช่เย็นชามเล็กไปคลายร้อนและบรรเทาธาตุไฟ
“ท่านก็ดื่มสักหน่อย” เจียงหุยเสวี่ยยื่นน้ำบ๊วยดองไปถึงตรงหน้าเมิ่งอวิ๋นเจิงที่มาสอนการต่อสู้ในวันนี้ ฝ่ายนั้นรับไปถือในมือด้วยท่าทางที่เป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง
สำหรับเมิ่งอวิ๋นเจิง การตอบสนองกับหญิงสาวเช่นนี้เป็นเรื่องปกติธรรมดาจริงๆ หลังจากที่ทั้งสองคุ้นเคยกันแล้ว ห้าปีมานี้ล้วนเป็นเช่นนี้ นางให้อะไรมา เขาก็ถือ เขาให้อะไรตอบ นางก็รับไว้แต่โดยดี ไม่มีสิ่งใดไม่ถูกต้อง
เมื่อชามใบเล็กมาอยู่ในมือของเขา ยิ่งทำให้นิ้วของเขาดูเรียวยาวมีพละกำลัง ราวกับออกแรงบีบเพียงเบาๆ ก็สามารถทำให้ชามแตกคามือ เขาดื่มน้ำหวานรวดเดียวหมด แต่เพราะดื่มเร็วเกินไป ใบหน้าพลันบิดเบี้ยว ริมฝีปากฉีกแยกจนเห็นฟันขาว อดแยกเขี้ยวยิงฟันออกมาไม่ได้
“ฮ่าๆๆๆ…เจ้า…เจ้า…ฮ่าๆๆ…”
ผู้ที่กล้าหัวเราะเยาะเขาเช่นนี้ มีดรุณีน้อยเพียงผู้เดียว…อืม ไม่อาจเรียกว่าดรุณีน้อยแล้วสินะ ตอนนี้เด็กสาวอายุสิบเจ็ดสิบแปดแล้ว แม้ว่าสติปัญญายังคงไม่ครบถ้วน แต่ศีรษะก็สูงเลยพี่สาวมาได้ประมาณชุ่นหนึ่ง
“โม่เอ๋อร์…” เจียงหุยเสวี่ยปรามน้องสาวตนด้วยสายตา ให้โม่เอ๋อร์สำรวมสีหน้า แต่ปากตนเองกลับเม้มกลั้นยิ้มไว้
เมิ่งอวิ๋นเจิงสูดหายใจคำหนึ่ง กล่าวคำพูดออกมาในที่สุด “เปรี้ยว…สะใจมาก”
“ทุกคนต่างจิบกันคำเล็กๆ ท่านเมิ่งไม่ควรจะดื่มเร็วเช่นนั้นเลย” เจียงหุยเสวี่ยเก็บชามของเขาคืน ตั้งท่าจะเติมให้เขาอีกชาม เห็นกรามเขาค้างเล็กน้อย ยกมือโบกปัด นางจึงหัวเราะออกมา ครั้งนี้นางทำน้ำบ๊วยดอง ใส่น้ำผึ้งและน้ำตาลค่อนข้างน้อย รสชาติเปรี้ยวกำลังดีเพื่อที่จะได้คลายร้อน แต่ว่าจะหวานน้อย ดังนั้นจึงเข้าใจได้ว่าไยบุรุษที่ติดรสหวานผู้นี้ถึงไม่ชมชอบ
“เอ้า!” โม่เอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างพลันถีบตัวขึ้นมา ส่งตะกร้าที่ถืออยู่ในมือให้เมิ่งอวิ๋นเจิงอุ้ม “ครึ่งหนึ่งเป็นของเจ้า”
ยังไม่ทันได้เปิดผ้าที่คลุมด้านบนอยู่ออก เมิ่งอวิ๋นเจิงก็ได้กลิ่นหอมของขนมแป้งนึ่งพุทราเชื่อมโชยออกมา ทั้งตะกร้าล้วนเป็นของเขา
ทุกครั้งที่เขาจะออกจากเมืองหลวง เจียงหุยเสวี่ยจะทำขนมหรือของกินเล่นที่เก็บรักษาง่ายให้เขาพกติดตัวไป นอกจากขนมแป้งนึ่งพุทราเชื่อมแล้ว ยังมีผลไม้แห้งเคลือบน้ำตาลกับขนมเปี๊ยะกรอบไส้เหอเถา ทำให้เขามีอาหารอื่นให้เปลี่ยนรสชาติบ้าง นอกเหนือจากอาหารแห้ง
“อ้อ น่าสนใจ โม่เอ๋อร์เสียสละของรักของหวงครึ่งหนึ่งให้ข้าแล้ว” เขาแหย่หญิงสาวที่ยังคงมีอุปนิสัยราวกับเด็ก เห็นโม่เอ๋อร์ทำแก้มโป่งพองเนื่องจากถูกจี้จุดอ่อน ในใจเขาก็รู้สึกสนุก
“ฮึ!” โม่เอ๋อร์ร้องหึหนักๆ ราวกับมีอะไรติดอยู่ในจมูก เลิกสนใจเขา หันศีรษะวิ่งจากไป ยังคงเป็นเหล่าเด็กๆ ที่เล่นเตะลูกขนไก่กับลูกหนังอยู่ข้างสนาม ที่ดึงดูดความสนใจนางมากกว่า
หลังจากดูให้แน่ใจแล้วว่าโม่เอ๋อร์อยู่ในที่ที่ไม่ไกลจากสายตาแล้ว เจียงหุยเสวี่ยก็ถอนสายตากลับมา บังเอิญสบเข้ากับสายตาของบุรุษเข้าพอดี
เมื่อมองกันในระยะประชิด ในอกพลันเต้นแรงขึ้นหนึ่งครา แต่ไม่ได้ทำให้นางมือเท้าปั่นป่วนเท่ายามที่นางรู้ตัว
ชมชอบเขา เป็นเรื่องของตัวนางเอง ค่อยๆ เคยชินกับความรู้สึกที่ก่อเป็นคลื่นลมเพราะว่าเขา ภายนอกนางเก็บอาการได้ดียิ่ง เขาดูแลพวกนางสองพี่น้อง ที่นางทำไปก็เพียงเพื่อตอบแทน ต่างคนต่างไม่ก้าวล้ำเส้น เป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีอะไรไม่ดี