เมิ่งอวิ๋นเจิงอ้าปากขึ้น แต่ก็ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ในเวลากะทันหัน เขาไม่มีเรื่องอะไรจะฝากฝัง เพียงรู้สึกว่านางกับเขารู้จักและไปมาหาสู่กันมานานห้าปี เขาเรียกน้องสาวนางด้วยชื่อตรงๆ เรียกได้อย่างเป็นธรรมชาติ แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด จนถึงตอนนี้เขาก็ยังคงเรียกนางว่า ‘แม่นางเจียง’ ส่วนนางก็ยังคงเรียกเขาว่า ‘ท่านเมิ่ง’
คำถามที่แท้จริงคืออะไร
เรื่องราวไม่ถูกต้อง แต่ว่าไม่ถูกต้องที่ใดกัน
เวลานี้ มีคนบางคนทนดูและฟังต่อไปไม่ไหว อดไม่ได้ที่จะผลัดกันพูดขึ้นคนละที…
“พวกเจ้าสองคนถ่วงเวลามาจนถึงตอนนี้ แล้วจะถ่วงไปอีกนานเท่าใดเล่า เจ้าสองคนไม่รีบ แต่ยายแก่อย่างพวกข้าทนดูมาตั้งสี่ห้าปี ร้อนใจจะตายอยู่แล้ว!”
“ใช่แล้ว…ใช่แล้ว ท่านเมิ่งนี่ล่ะก็ อย่างไรท่านก็นับว่าเป็นเด็กจากตรอกซงเซียงของพวกเรา เป็นลูกผู้ชายแท้ๆ ได้รับการแต่งตั้งจากฮ่องเต้จนมีชื่อเสียง พลอยให้พวกเราได้หน้าไปด้วย แต่ว่า…จะชื่อเสียงดีอย่างไรก็ประพฤติเช่นนี้มิได้! เจ้าเอะอะก็มาที่เรือนหมู่ มาขอแม่นางกินโจ๊กมื้อแล้วมื้อเล่า แต่ไม่ให้อะไรตอบแทนแม่นางสักอย่าง นี่…แฮกๆ จะได้อย่างไรเล่า”
“ท่านเมิ่งไม่ยอมพูด ไม่ทำให้กระจ่าง แม่นางก็เสียเวลากับเจ้ามานานปี นึกดู ท่านเมิ่งปีนี้ก็ปาเข้าไปยี่สิบหกยี่สิบเจ็ดแล้วนี่? แม่นางจากตอนนั้นที่อายุสิบหกมาตอนนี้ล่วงเลยยี่สิบแล้ว พูดสิ เจ้าพูดออกมา จะเอาอย่างไร”
ตั้งแต่เจียงหุยเสวี่ยอยู่มาจนถึงตอนนี้ นี่เป็นช่วงเวลาที่น่ากระดากและอับอายที่สุดในชีวิตนาง
สมาชิกในครอบครัวที่มีเวลาว่างและมาพึ่งความเย็นใต้เงาไม้อย่างท่านยายเฉียว รวมถึงท่านอาและท่านป้าอีกหลายท่านที่รู้จักมักคุ้นกัน ดื่มน้ำบ๊วยดองหมดตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ ต่างแอบฟังบทสนทนาระหว่างนางกับบุรุษกันอย่างหูผึ่ง
‘เรื่องเช่นนี้ เจ้าเป็นสตรีไม่สะดวกออกปาก…’
ในหัวนางปรากฏถ้อยคำในปีนั้นที่ท่านยายเฉียวบอกกับนางอย่างขำขันปนระอา
‘ไม่จำเป็นต้องรีบ มียายแก่อย่างข้าอยู่ทั้งคน พวกข้าไปถามท่านเมิ่งให้กระจ่างแทนเจ้าก็ได้’
นางนึกว่าหญิงชราเพียงพูดไปอย่างนั้น คงไม่ทำเรื่องวู่วาม แต่ดูจากตอนนี้แล้ว นี่คือการฉวยโอกาส ‘ลงมีด’ ใส่เมิ่งอวิ๋นเจิงโดยตรงตอนที่ทุกคน ‘พร้อมสู้’!
แม้นางอยากจะขุดหลุมแล้วฝังตัวเองลงไปมากเพียงใด แต่ก็รู้สึกว่าหากไม่อธิบายแทนเขา เขาอาจจะถูกบรรดาสตรีใจกล้าแห่งเรือนหมู่กลุ่มนี้ฉีกเป็นชิ้นจริงๆ ก็ได้ นางอ้าปากเอ่ยคำ…
“ข้ากับท่านเมิ่งไม่ได้เป็นอย่างที่พวกท่านคิด!”
“ผู้แซ่เมิ่งไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับแม่นางเจียง!”
เวลาช่างลงตัว ยามเจียงหุยเสวี่ยพูดออกมา บุรุษที่อยู่ด้านข้างก็พูดขึ้นโดยพร้อมเพรียง
ควรจะบอกว่าทั้งสองมีญาณวิเศษ หรือว่าตกลงกันมาอย่างดี?
นางยิ้มขมขื่นในใจ เบิกตามองไปทางเขา เห็นเขาก็กวาดตามองมาเช่นกัน ทั้งสองจ้องมองกันอย่างใกล้ชิด สีหน้าตกตะลึง
สุดท้ายมู่อวิ๋นเจิงก็ละสายตาก่อน กวาดตามองไปยังท่านยาย ท่านอา และท่านป้าที่ออกมาต่อว่าเขาจากซ้ายไปขวารอบหนึ่ง แล้วค่อยกวาดจากขวาไปซ้ายอีกรอบ