สีหน้าเขาราบเรียบ เพียงคิดว่าชื่อเสียงของหญิงสาวเสียหาย เขาจำเป็นต้องปกป้อง น้ำเสียงที่ใช้จึงไม่เหมือนยามปกติ กล่าวอย่างเคร่งขรึมและระมัดระวัง…
“เดิมท่านยายเฉียวปล่อยบ้านเก่าของผู้แซ่เมิ่งให้แม่นางเจียงสองพี่น้องมาลงหลักปักฐานในเมืองหลวง ข้าเพียงแค่คิดถึงบ้านเก่า ยามว่างจึงมายังตรอกซงเซียงเป็นประจำเพื่อสอนการต่อสู้ แบ่งปันวิชาความรู้ ประการแรกเป็นเพราะคิดคะนึงถึงทุกท่านที่เคยช่วยดูแลมารดาข้าที่เป็นม่ายและด่วนจากไป ประการที่สองเพราะรู้สึกว่าแม่นางทั้งสองที่มาอยู่อาศัยในบ้านเก่านับว่ามีวาสนาต่อข้า จึงทำให้ยิ่งสนิทสนมกันมากขึ้น เห็นเป็นเช่นคนในครอบครัว เฉกเช่นมิตรสหายและเพื่อนบ้านทุกคนในเรือนหมู่แห่งนี้ ต่างมีที่อยู่ในชีวิตของผู้แซ่เมิ่ง เป็นความรู้สึกที่แตกต่างออกไป ข้ากับแม่นางเจียงก็เป็นเช่นนี้ และเป็นเพียงเช่นนี้ ขอท่านยาย ท่านอา และท่านป้าทั้งหลายโปรดระมัดระวังคำพูด อย่าได้ทำลายชื่อเสียงของแม่นาง” กล่าวจบ เขาก็โอบแขนประสานสองมือเข้าหากัน ย่อกายโค้งคารวะ
เมื่อขุนนางใหญ่ของราชวงศ์ที่ดำรงตำแหน่งสำคัญและมีความดีความชอบเช่นนี้แสดงความสุภาพนอบน้อมอย่างยิ่ง ไม่ว่าเหล่าสตรีในเรือนหมู่จะกล้าหาญชาญชัยเพียงใดก็รับมือลำบาก ยามนี้ต่างเริ่มวางตัวกันไม่ถูก คงเหลือแต่ขิงแก่เผ็ดร้อนอย่างท่านยายเฉียวที่นิ่งเฉยไม่หวั่นกลัว
“หุยเสวี่ยเจ้าพูด! ขอเพียงเจ้าเอ่ยปาก ยายจะเอาเรื่องกับเขาให้ถึงที่สุด”
หญิงสาวที่ถูกเอ่ยชื่ออย่างกะทันหันหน้าเผือดขาว ในสีขาวซีดยังเจือสีแดง ตื่นตระหนกไม่น้อยเลยจริงๆ
จะให้นางพูดอะไร
นางไม่ได้คิดอะไรมาก จริงๆ นะ นางเพียงอยาก…อยากจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปอีกนานแสนนานกับทุกคนในเรือนหมู่ กับผู้คนในตรอกซงเซียงแห่งเฉิงเป่ย ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายไปวันๆ แล้วก็…แล้วก็มีเขาอยู่เป็นเพื่อนในบางครั้ง เช่นนี้ก็ดีแล้ว เช่นนี้…ก็ดีมากแล้ว
นางไม่ได้คิดอะไรจริงๆ
“…ท่านเมิ่งกับข้า พวกเรา…ไม่ได้มีอะไรกันจริงๆ…” นางพยักหน้าอย่างแข็งขันครั้งแล้วครั้งเล่า “หากเขาทำให้ท่านยายกับทุกคนเข้าใจผิด ข้าเองก็ย่อมมีส่วนผิดด้วย” นางไม่ทราบว่านางยิ้มออกมาได้อย่างไร แต่จะไม่ยิ้มก็ไม่ได้ เมื่อยิ้มแล้ว ก็จะทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น ทำให้ทุกคนพลอยมองว่าง่ายไปด้วย
นางฉีกยิ้ม รอยยิ้มอย่างเอียงอาย เอ่ยเสียงเบาและพึมพำ “ท่านยายและท่านอา ท่านป้าทั้งหลายชื่นชมว่าข้าร่ำเรียนงานฝีมือได้เร็ว และเรียนได้ดี ข้าก็ภาคภูมิใจ บางครั้งจึงอยากตัดเสื้อ ปักผ้าเช็ดหน้า เสื้อผ้าของสตรีข้าตัดไว้มากพอแล้ว ข้าสวมเองก็ดีอยู่แล้ว ทั้งยังมีพอให้โม่เอ๋อร์ใส่ จากนั้น…จากนั้นข้าก็อยากลองตัดของบุรุษ เมื่อเป็นเช่นนี้ เสื้อผ้าที่ข้าตัดมาในช่วงหลายปีมานี้ ไม่ว่าจะออกมาดีหรือแย่เพียงใดล้วนมอบให้ท่านเมิ่ง เขารับของของข้าไป ข้ายังรู้สึกละอาย ทำได้เพียงให้สิ่งอื่นตอบแทน จึงได้ไปมาหาสู่กันเช่นนี้ สร้างความเข้าใจผิดให้กับทุกท่าน ข้ากับท่านเมิ่ง..ไม่มี…เรื่องกำกวมต่อกันจริงๆ” กล่าวจบ นางลอบระบายลมหายใจ สีหน้าซีดเผือดราวกับใกล้จะเป็นลม
แต่นางไม่ได้เป็นลม และจะเป็นไม่ได้
สติสัมปชัญญะนางยังคงแจ่มชัด แสดงคารวะผู้อาวุโสทั้งหลายที่อยู่ในลาน กล่าวพลางยิ้มบางๆ “น้ำบ๊วยดองยังเหลืออยู่อีกกาใหญ่ ข้าเห็นเด็กหลายคนชอบดื่มกันดี จึงน้ำมาแขวนไว้ที่นี่ชั่วคราว อืม…ในครัวยังมีงานต้องทำ เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อน เดี๋ยวตอนเย็นจะกลับมาเก็บไป”
เมื่อพูดจบ นางไม่มองใครทั้งสิ้น นางไม่กล้ามองใครทั้งนั้น ในตอนที่นางหมุนตัวจากไป แม้แต่โม่เอ๋อร์ก็ยังลืมเรียก
เช่นนี้ไม่ดีเลย
การทำเช่นนี้ขี้ขลาดมาก
นางรู้ดี แต่ยังคงไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้าอย่างไร
ดังนั้นเมื่อกลับไปถึงห้องเล็กของตนเอง นางจึงไปขดอยู่ในมุมเล็กที่เป็นที่ประจำของโม่เอ๋อร์ในห้องครัว นั่งบนม้านั่งเล็ก ฝังหน้าลงบนหัวเข่า กอดตัวเองจนกลมเป็นก้อน
ครู่หนึ่ง ผ่านไป มีเสียงฝีเท้าเดินเข้าใกล้นาง เป็นเสียงที่นางคุ้นเคยมาก
คนผู้นั้นเข้ามาใกล้ โอบแขนรอบตัวนาง เอ่ยเสียงอ่อนโยน “พี่สาว…”
นางเงยหน้าขึ้นตามเสียง ยิ้มบางๆ ให้กับใบหน้าที่โศกเศร้าอย่างเห็นได้ชัดของโม่เอ๋อร์ “โม่เอ๋อร์เป็นอะไรไป เหตุใดจึงไม่มีความสุข”
ริมฝีปากแดงนั้นส่งเสียงงึมงำอยู่หลายครั้ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างลังเล “ก็พี่สาวไม่มีความสุข…”
“ข้ากำลังยิ้มอยู่” เจียงหุยเสวี่ยหรี่ตา ฉีกยิ้มกว้างมากๆ
“พี่สาวกำลังร้องไห้ หน้าก็เปียก” นิ้วมือยื่นมาเช็ดน้ำตาให้นาง ครั้งแล้วครั้งเล่า เช็ดอย่างตั้งใจ
เจียงหุยเสวี่ยยังคงยิ้ม กุมมือเล็กของน้องสาวตนเอาไว้ กล่าวเสียงอ่อนโยน “แม้ว่าจะร้องไห้ แต่ในใจรู้สึกยินดี มีความสุข”
“เพราะอะไร” นางไม่เข้าใจจริงๆ ยิ่งกอดพี่สาวแน่นขึ้น
“เพราะว่ารักด้วยใจจริง” เจียงหุยเสวี่ยลูบเสื้อของน้องสาว หน้าผากแนบกับหน้าผาก ดูเหมือนอารมณ์จะสงบนิ่งขึ้น
รักด้วยใจจริง รับรู้ด้วยใจ แต่เอื้อมไม่ถึง และไม่อาจไปไขว่คว้า ในความยินดีจึงพัวพันรุมเร้าด้วยความสิ้นหวัง ท่ามกลางความหมดหวังกลับได้ลิ้มรสชาติของความรู้สึกที่ชีวิตนี้ยากจะได้มา
ไม่ควรที่จะเสียใจอีก ในเมื่อมีแล้ว ก็ควรจะเป็นสิ่งที่สวยงาม
“พี่สาวหยุดร้องก่อนดีหรือไม่” เด็กสาวที่ไม่เข้าใจเรื่องราวมีความต้องการไม่มาก ขอเพียงพี่สาวสบายดี ตนเองก็สบายใจ
เจียงหุยเสวี่ยยิ้มขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้ออกมาจากใจ เสียงหัวเราะเลอค่าดุจหยกงาม
“ได้ ไม่ร้องแล้ว” นางหลับตาลง ทอดถอนใจเบาๆ
โปรดติดตามตอนต่อไป…