ทำงานเสร็จสิ้นในครั้งนี้ มู่ไคเวยเริ่มมีแก่ใจจะพูดคุย จึงกล่าวว่า “ได้ ยืมมาแล้วต้องคืน จะได้มีให้ยืมอีก ถึงตอนนั้นเครื่องหอมคงไม่หอมแล้ว ศิษย์พี่ค่อยขอให้แม่นางเจียงใส่ดอกไม้และหญ้าหอมเข้าไปแล้วกัน นางรู้ว่าท่านตั้งใจใช้งานมากถึงเพียงนี้ ไม่ทำให้ความตั้งใจของนางสูญเปล่า ย่อมดีใจเป็นแน่ ศิษย์พี่บอกว่าไม่ได้ทะเลาะกับแม่นางเจียง เป็นเช่นนั้นก็ดีแล้ว ในเมื่อระหว่างท่านกับนางไม่มีเรื่องใด แสดงว่า…เรื่องต้องมาจากผู้อื่นแล้ว? หรือว่าแม่นางเจียงกำลังสนใจใคร ถึงได้ทำให้ท่านว้าวุ่นใจ?”
“ไม่มี!” วาจานี้เมื่อกล่าวออกไป เมิ่งอวิ๋นเจิงก็ชะงัก
…ไม่มี?
ไฉนจึงไม่มี เพราะเหตุใดจึงไม่มี ไม่มีได้อย่างไร
ต้องถามว่าเขาไปเอาความมั่นใจจากไหนมากล่าวสองคำนั้นได้อย่างมั่นอกมั่นใจเช่นนี้
ฝีเท้าเขาหยุดลงอย่างกะทันหัน คนที่เดินตามหลังมาติดๆ อย่างมู่ไคเวยจึงหน้ากระแทกแผ่นหลังกว้างของเขา
หญิงสาวร้องครางอย่างเจ็บปวด ลูบคลำจมูกของตนเอง เห็นศิษย์พี่ตนมีสีหน้าหนักอึ้ง นางก็ยั้งถ้อยคำรุนแรงเอาไว้ เพียงทำเสียงขึ้นจมูกและเอ่ยอย่างระอา
“ศิษย์พี่ท่านคงนึกออกแล้วสินะ” พลางดึงดั้งจมูก “ท่านถ่วงเวลาไม่ยอมแสดงออกกับผู้อื่น แต่กลับเข้าไปทำความสนิทสนม พูดให้น่าเกลียดก็คงต้องบอกว่า ‘จับจองหลุมไว้แต่ไม่ยอมถ่ายอุจจาระ’ แม่นางผู้นั้นหลายปีมานี้คอยเอาใจท่าน ปะชุนเสื้อเก่า ตัดเสื้อใหม่ ตัดรองเท้าให้ท่าน เย็บถุงเครื่องหอม ทำขนม ต้มชาทำโจ๊กให้ท่าน ตั้งแต่หัวจรดเท้า ตั้งแต่ในบ้านถึงนอกบ้าน อะไรที่นางดูแลได้นางก็ดูแล ย่อมชมชอบท่านอยู่แล้ว”
คำพูดนี้ทำให้ใบหน้าเมิ่งอวิ๋นเจิงแข็งค้างดุจพานพบฤดูใบไม้ผลิมาสามครั้ง
คิ้วดุจภูผาของเขาเลิกสูงขึ้น ดวงตาเป็นประกายราวกับเพิ่งผ่านการล้างด้วยน้ำ บางสิ่งที่ดูอ่อนโยนเต้นเป็นระลอกอยู่ในดวงตา หางตาจึงเบิกกว้างกลมขึ้น ริมฝีปากก็โค้งขึ้นเล็กน้อย ลำคอและไหล่บ่าที่แข็งค้างไม่ได้เกร็งเท่าก่อนหน้านี้แล้ว
ได้รับราชโองการให้ลงมาทำงานทางตอนใต้ในครั้งนี้ หาหลักฐานและพยานได้แล้ว ผู้คนที่มาช่วยก็มีเป็นจำนวนมาก มีหลายเรื่องที่แม่ทัพทางชายแดนใต้และเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเตรียมการไว้พร้อม เรื่องราวจึงเป็นไปตามความคาดหมาย เหลือเพียงตัดสินคดีเท่านั้น เขาไม่มีเรื่องอันใดให้ต้องว้าวุ่นใจ แต่ว่าหัวใจกลับเหมือนลูกมะเขือที่จับน้ำค้างแข็ง ทั้งช้ำและเหี่ยวแห้ง ราวกับทุกอย่างผิดพลาดไปหมด
เขาคิดแล้วคิดอีก คำนึงแล้วคำนึงอีก ว่าเหตุใดจึงรู้สึกว้าวุ่นใจเช่นนี้ พลันในใจเขาก็ได้คำตอบ
คิดไปคิดมา ก็คิดถึงวันก่อนออกจากเมืองหลวง เขาตะลึงมองดูเงาร่างบางของหญิงสาวที่วิ่งจากไปโดยไม่มีคำพูดใดจะกล่าว
เขาคงจะทำอะไรผิดเป็นแน่…
ภาพที่เขาอยู่ร่วมกับหญิงสาวผู้นั้นในเวลาต่างๆ ปรากฏขึ้นในหัวฉากแล้วฉากเล่า ทั้งเวลาที่มีความสุข ประหลาดใจ อบอุ่นใจ สงบสุข อิ่มเอิบใจ…ศิษย์น้องพูดถูก หญิงสาวผู้นั้นดูแลเขาอยู่เงียบๆ ไม่ปล่อยให้เขาขาดแคลนสิ่งใด มองลงไปทั่วทั้งตัวเขา ตั้งแต่เสื้อฤดูร้อน เข็มขัด ถุงเครื่องหอม และรองเท้ายาวที่อยู่ข้างล่างสุด…อ้อ ยังมีขนมแป้งนึ่งพุทราเชื่อมสองชิ้นสุดท้ายที่ซ่อนอยู่ในอกเสื้อ ทั้งหมดล้วนเป็นของที่หญิงสาวทำขึ้นมาให้เขา
คนผู้หนึ่งจะโง่งมได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ นาง…นางไม่สนใจเขาที่ใดกัน
‘ย่อมชมชอบท่านอยู่แล้ว’
คำพูดนี้ดียิ่ง ได้ยินแล้วรู้สึกยินดีจากใจจริงและช่างไพเราะเสนาะหู ส่วนความรู้สึกที่เขามีต่อนางก็…ก็…
“ตึง! ปัง…”
“อ๊า…เฮ้ยๆๆ ศิษย์พี่ ท่านเป็นอะไรไป”
ชายร่างสูงใหญ่แข็งแรงล้มลงโดยไม่มีอะไรบ่งบอกล่วงหน้า เท้าข้างหนึ่งย่ำลงในแอ่งโคลน
มู่ไคเวยยื่นมือออกไปฉุดไว้ตามสัญชาตญาณ ไม่รู้ว่าแอ่งโคลนนั้นลึกเท่าใด แต่เขาย่ำลงไปเต็มแรง ทำให้โคลนเลนก้อนใหญ่กระเด็นใส่หน้านาง
“ศิษย์น้อง…ข้า ข้าผิดไปแล้ว…ไม่ใช่เช่นนั้น…” เมิ่งอวิ๋นเจิงขาจมลงไปในโคลนครึ่งแข้ง ขาอีกข้างคุกเข่าลงบนซากใบไม้ ใบหน้าสีเลือดเหือดหาย
เขาคิดได้เสียทีว่าตนทำอะไรผิด!
“ข้าบอกนางว่าข้าไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับนาง ระหว่างข้ากับนาง ไม่ใช่เรื่องระหว่างชายหญิงเลยแม้แต่น้อย” พลางหอบหายใจ “ตั้งแต่ตอนที่เพิ่งทำความรู้จักมาจนถึงตอนนี้ ข้าได้บอกไปอย่างชัดเจนครั้งแล้วครั้งเล่า” ความจริงก็คือบอกไปชัดเจนมาก!
‘นาง’ ในวาจาของศิษย์พี่ มู่ไคเวยใช้หัวเข่าขบคิดก็ทราบว่าเขาหมายถึงใคร