ท่านยายเฉียวหัวเราะคิกคักพลางกล่าวให้นางสบายใจ “ไม่ต้องรีบร้อน ถึงปั้งโถวจะอายุแค่สิบสาม แต่วิชาทางน้ำดีเยี่ยม ทั้งรู้จักดูแลผู้อื่น ยังมีนายเรือช่วยดูแล โม่เอ๋อร์กับหนิวนิวต้องเล่นกันอย่างสนุกสนานมากเป็นแน่ เจ้าไม่ต้องรีบกลับไปหา พอตกดึก ปั้งโถวจะพาพวกนางสองคนกลับเอง ส่วนเจ้า…เฮ่อ เจ้าค่อยๆ ดูของเจ้าไป เถิด”
เจียงหุยเสวี่ยส่ายหน้าซ้ำๆ กล่าวคำเนิบช้า “ไม่จำเป็น ข้าทราบว่าท่านยายทำเพื่อข้า ความปรารถนาดีของท่าน…ข้ารับรู้แล้ว ข้าไม่ต้องการดูต่อ ต้องกลับแล้วจริงๆ”
ท่านยายเฉียวชอบผูกด้ายแดงและวางแผนให้ผู้อื่น ในตรอกซงเซียงหญิงชราขึ้นชื่อในเรื่องนี้เป็นอันมาก หลายปีมานี้ เจียงหุยเสวี่ยเห็นชายหญิงบางคนเป็นคู่กันได้สำเร็จเพราะมีท่านยายผูกด้ายให้ แต่ไม่นึกเลยว่าเจตนาของท่านยายจะส่งมาถึงนางด้วย
เดิมนางคิดว่า…คิดว่าที่ลานเล็กในวันนั้นที่เมิ่งอวิ๋นเจิงอยู่ด้วย และนางได้กล่าวไปอย่างชัดเจนต่อหน้าทุกคน เมื่อท่านยายทราบชัดแล้ว ก็คงไม่มีทางเข้าใจผิด และพยายามจับคู่ให้พวกเขาทั้งสองอีก นึกไม่ถึงว่าเรื่องจะเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม ท่านยายต้องการหาบุรุษมาให้นางดูใจก่อนค่อยปล่อยคนขึ้นฝั่ง
ท่านยายเฉียวกล่าวรำพึง “ก็ได้ ในเมื่อครั้งนี้ไม่พบผู้ที่ถูกใจ ไว้รอวันที่สิบห้า คืนจันทร์เต็มดวงก็ได้ เจ้าตามยายไปโรงน้ำชา พวกเรายังทำได้อีกครั้งที่นั่น เจ้ามาแล้วข้าจะเลี้ยงน้ำชาเจ้า เจ้าก็แค่…ก็แค่…” ทันใดนั้นเครื่องหน้าท่านยายก็แข็งค้าง
เจียงหุยเสวี่ยไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของท่านยาย และก็ไม่มีแก่ใจจะฟังเสียงร้องเรียกที่ดังขึ้นจากด้านหลัง อย่างไรเสียในทะเลสาบมีเรือลอยลำอยู่มากมาย และมีคนโดยสารมากถึงเพียงนั้น ผู้ที่ร้องเรียกตะโกนจะน้อยได้อย่างไร
นางแค่ได้ยินว่ายังต้องไปที่โรงน้ำชาในคืนวันเทศกาลจงชิว พลันตื่นตระหนกตากลมโต ในหูลั่นอึงอล เพียงรู้ตัวว่ากำลังส่ายหน้าอย่างแรงให้ท่านยายเฉียว
“ท่านยาย ข้าไม่ไป ไม่ต้องหรอก อย่างไรข้าก็ไม่ไป! ท่าน…ท่านอย่าได้ยกโม่เอ๋อร์มาอ้างอีก อย่าได้ทำเช่นในคืนวันนี้ เช่นนี้…เช่นนี้ไม่ดี อย่างไรข้าก็ไม่ไป”
“หุยเสวี่ย…” ท่านยายเฉียวมีสีหน้าท่าทางประหลาด แต่น้ำเสียงยังคงมั่นคง เพียงลังเลเล็กน้อยก่อนจะถามว่า “เจ้าอยากหันไปดูก่อนหรือไม่ ดูว่าบุรุษผู้นี้ต้องตาเจ้าหรือไม่”
ในที่สุดก็พบว่าสายตาของท่านยายเฉียวไม่ถูกต้อง เพราะว่ามันจ้องเลยศีรษะนางไปทางด้านหลัง
เมื่อครู่นี้มีชายคนหนึ่งที่เข้ามาพูดคุยด้วยพยายามจะกระโดดขึ้นเรือยาวของนาง พอถูกท่านยายเฉียวด่าทอค่อยรีบชักเท้ากลับไปอย่างเชื่อฟัง เวลานี้ในหัวเจียงหุยเสวี่ยว้าวุ่นเป็นอย่างมาก นึกว่าเหตุการณ์เช่นเดียวกันเกิดขึ้นซ้ำอีกครั้ง มีใครสักคนกระโดดขึ้นมาแล้ว และอยู่ข้างหลังนางนี่เอง
นางหันหลังกลับไป ขึ้นเสียงตะโกนว่า “ข้าไม่อยากดูตัว ไม่ว่าใครข้าก็ไม่ดู คุณชายโปรดลงไป…ฮึก!”
มีชายผู้หนึ่งขึ้นมาบนเรือนางจริงๆ
คนผู้นั้นยืนอยู่ข้างหลังนาง ด้วยระยะห่างไม่ถึงหนึ่งก้าว
เขายืนอยู่ใกล้มาก แต่นางไม่รู้เลยว่าเขาขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใด และขึ้นมาจากไหน
เขาเหวี่ยงเสื้อคลุมตัวบางไปไว้ข้างหลัง เงาร่างสูงใหญ่ที่ไหล่กว้างเอวแคบเป็นเงาร่างที่นางคุ้นเคยเสียยิ่งกว่าอะไร
เมื่อยืนใกล้กับเขาขนาดนี้ ระดับสายตานางปกติจะหยุดอยู่บนไหล่บ่าอันกว้างใหญ่ของเขา ยามนี้แขนแกร่งดุจเหล็กของเขาสอดประสานกันอยู่บนอก สองขากว้างเสมอไหล่ แผ่นหลังเหยียดตรง ท่าทียืนอย่างสงบนิ่งดูโอหังและคุกคามผู้คน นางกวาดตาขึ้นอย่างงุนงง มองดูใบหน้างามสง่าที่แสงโคมในทะเลสาบแยกให้เห็นเป็นเงามืดสว่าง
“ทะ…ท่านเมิ่ง…”
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่” เห็นได้ชัดว่าแต่ละคำล้วนลอดไรฟันออกมา
นางมาทำอะไรที่นี่ เจียงหุยเสวี่ยก็คิดอยู่
นางมองเขาตาพร่า พอได้สติก็ก้มศีรษะมองดูกล่องไม้สิบกว่ากล่องที่นางตักขึ้นมาอย่างเอาจริงเอาจัง จากนั้นก็มองไปเรือทั้งสองฝั่งที่ไล่ตามเรือยาวมา…เฮ่อ
ดวงตาของนางกลับมาหยุดอยู่บนใบหน้าของบุรุษที่หน้าตึงจนแข็ง แล้วยิ้มเจื่อน “ข้าก็…ไม่ค่อยแน่ใจ”
ติดตามต่อได้ในเล่ม…