“ซูเจ๋อหลัน?” นางมองหน้าเขาพลางเอ่ยปาก
คนสุดท้ายที่เข้ามาไม่ใช่ใครอื่น เป็นซูเจ๋อหลันบัณฑิตที่บอกว่าจะขึ้นเขาตามหาน้องสาวซึ่งนางเคยพบบนเขามาแล้วก่อนหน้านี้ เพราะว่านางขึ้นเขาปราบโจรผู้ร้ายมาตลอดทาง หวังจะไปช่วยน้องสาวออกมาแทนเขา ผลสุดท้ายถึงได้ถูกเจ้าคนสารเลวโจวเวินหรานทำทีเฝ้าตอรอกระต่าย ดังนั้นภาพจำที่นางมีต่อเขาจึงสลักลึกซึ้งอย่างยิ่ง
“ไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่ นั่นคือพี่ใหญ่ของเจ้า!” สตรีผู้นั้นตีมือจ้าวฉงอีเบาๆ จากนั้นก็สะดุ้งตกใจ ดวงตาพลันสว่างวาบ “เจ้าจำได้แล้ว? แล้วยังจำได้หรือไม่ว่าข้าเป็นแม่ของเจ้า”
“…ท่านแม่?” จ้าวฉงอีเหลือบมองนางแวบหนึ่ง
“เฮ้อ!” สตรีผู้นั้นเช็ดตาไปรอบหนึ่ง ถือเสียว่าบุตรสาวจำนางได้แล้ว
จ้าวฉงอีเม้มริมฝีปาก ตอนนี้ต่อให้นางจะสมองทึบเพียงใดก็รู้ดีว่าพวกเขาจำคนผิดแล้ว ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าบิดาบุญธรรมมักจะชื่นชมความเฉลียวฉลาดของนางมาตลอด
นางเหลือบมองซูเจ๋อหลันที่ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าห่วงใยเต็มเปี่ยม หวนคิดถึงตอนพบหน้าเขาและคำพูดที่เขาเอ่ย…
ยามนั้นเขากล่าวว่า ‘ข้าน้อยซูเจ๋อหลัน อาศัยอยู่ที่ตำบลตงหลีตรงเชิงเขานี่เอง น้องสาวของข้าขึ้นเขามาเก็บสมุนไพรไม่กลับบ้านเสียที ข้าถึงได้ขึ้นเขามาตามหาคน ไม่มีเจตนาจะล่วงเกินจริงๆ เพียงแค่ตอนน้องสาวข้าขึ้นเขามาสวมกระโปรงสีชาด รูปร่างยังใกล้เคียงกับแม่นางมาก’
หมายความว่านี่ข้า…กลายเป็นน้องสาวของเขาที่หายตัวไปและถูกพากลับบ้านแล้ว?
ทว่าต่อให้สวมเสื้อผ้าสีสันใกล้เคียงและยังรูปร่างคล้ายคลึงกันก็ไม่มีทางมองว่าเป็นอีกคนหนึ่งไปได้จริงๆ เด็ดขาด เว้นแต่…หน้าตาของนางจะเหมือนกับเสี่ยวหม่านที่พวกเขาเอ่ยถึงไม่มีผิดเพี้ยน
นี่มันจะเหลือเชื่อไปหน่อยแล้วกระมัง
เพียงแต่…บังเอิญมาก ไม่คิดเลยว่านางจะมาถึงตำบลตงหลีจนได้ หลังจากขัดราชโองการหนีการแต่งงานครั้งนี้ แม้นางจะบอกกับจ้าวหนานชิวว่าจะพำนักอยู่ตำบลไป๋หลี่ชั่วคราว แต่ความจริงแล้วสถานที่ที่นางอยากจะมา…กลับเป็นตำบลตงหลีแห่งนี้
เพราะถ้าหากไม่ผิดไปจากที่คาดไว้ ตำบลตงหลีน่าจะเป็นบ้านเกิดของนาง ปีนั้นนางก็ถูกทิ้งอยู่ที่นี่ จริงๆ นางไม่ได้อยากรู้เกี่ยวกับชาติกำเนิดของตนเองมากถึงเพียงนั้น ทว่าพอขัดราชโองการหลบหนีมา ถึงอย่างไรนางก็ไม่มีที่ไป ค่ายลั่วเยี่ยนที่บิดาบุญธรรมฝากฝังไว้ก็มอบหมายคืนให้จ้าวหนานชิวไปอย่างดีแล้ว ตอนนี้นางไม่มีภาระหน้าที่ ตัวเบาสบายอย่างหาได้ยาก จึงตั้งใจจะมาดูที่ตำบลตงหลีสักหน่อย…
เมื่อครุ่นคิดถึงสถานการณ์ของตนเอง จ้าวฉงอีตัดสินใจว่าจะสังเกตความเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบๆ แต่นางไม่ชอบความรู้สึกของการตกเป็นฝ่ายถูกควบคุมเช่นนี้เลย จำเป็นต้องทำความเข้าใจให้กระจ่างโดยเร็วที่สุด…อย่างไรก็ตามนางไม่ทันคิดอะไรมากกว่านี้ ท้องก็ส่งเสียงขึ้นมาก่อนแล้ว
โครกคราก…เป็นเสียงร้องแสดงความหิวโหย
“เสี่ยวหม่านหิวแล้ว เจ้าเคี่ยวน้ำแกงไก่อยู่ในครัวไม่ใช่หรือ ไปต้มบะหมี่ให้นางกินสักชามเถอะ” เห็นท่านแม่ซูขอบตาแดงเรื่อ ท่าทางสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ท่านพ่อซูลอบถอนหายใจเงียบๆ ก่อนเอ่ยเสียงเนิบช้า
ท่านแม่ซูรีบตอบรับแล้วเช็ดน้ำตาเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
“เสี่ยวหม่าน” ท่านพ่อซูเห็นท่านแม่ซูออกไปแล้วถึงได้หันกลับมามองจ้าวฉงอี กล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ครั้งนี้ทำให้ท่านแม่เจ้าตกใจมาก ครั้งหน้าอย่าได้บุ่มบ่ามเช่นนี้เด็ดขาด”
ในใจจ้าวฉงอียังนึกถึงน้ำแกงไก่ชามนั้น แล้วก็ใคร่ครวญสถานการณ์ของตนเองในตอนนี้ พยักหน้าฟังเขาสอนสั่งอย่างว่าง่าย ฟังไปฟังมาก็รู้สึกคอแห้งอยู่บ้าง
น้ำถ้วยหนึ่งถูกส่งมาตรงหน้านางได้จังหวะเหมาะพอดี เป็นบัณฑิตที่ชื่อซูเจ๋อหลันผู้นั้น…พี่ชายคนโตของซูเสี่ยวหม่าน
“เสี่ยวหม่าน เจ้าไม่เคยมีนิสัยบุ่มบ่ามเช่นนี้มาก่อน ครั้งนี้เหตุใดถึงได้ขึ้นภูเขาลึกไปคนเดียว” ซูเจ๋อหลันมองหน้านางพลางซักถาม