จ้าวฉงอีรับถ้วยน้ำมาดื่มหมดในคราวเดียวก่อนจะหยั่งเชิงถามประโยคหนึ่ง “ถ้าเกิดข้าบอกว่า…ข้าไม่ใช่ซูเสี่ยวหม่านเล่า”
“พี่รอง ถึงอย่างไรท่านพ่อท่านแม่รวมถึงพี่ใหญ่ก็ตัดใจทำอะไรท่านไม่ลงอยู่แล้ว ท่านไม่จำเป็นต้องไม่ยอมรับกระทั่งว่าตนเองเป็นใครเพื่อหนีการลงโทษหรอกนะ เป็นคนกล้าทำต้องกล้ารับสิ” เด็กชายที่เพิ่งไปเรียกท่านพ่อซูมาผู้นั้นเอามือไพล่หลังวางท่ากล่าววาจาสั่งสอนเป็นจริงเป็นจัง ประหนึ่งเป็นท่านอาจารย์สักคนหนึ่ง
จ้าวฉงอีมุมปากกระตุกเบาๆ เหลือบมองท่านพ่อซูกับซูเจ๋อหลันแวบหนึ่ง สีหน้าคนทั้งสองสื่อความหมายประมาณนี้แน่แล้วเช่นกัน…ทว่าสีหน้าของเด็กหญิงชื่อปั้นซย่าที่ยืนอยู่ตรงหัวเตียงผู้นั้นกลับน่าสนใจอยู่บ้าง คล้ายว่าจะรู้สึกละอายกับไม่สบายใจเล็กน้อย
“เสี่ยวหม่าน เรื่องที่บนภูเขาลึกนั่นมีโจรผู้ร้ายข้าก็เคยบอกเจ้าตั้งหลายครั้งแล้ว เหตุใดเจ้า…” ซูเจ๋อหลันถามขึ้นอีก
จ้าวฉงอีปวดศีรษะเล็กน้อย นางรู้ที่ใดกันว่าเพราะเหตุใดซูเสี่ยวหม่านถึงขึ้นไปบนภูเขาลึก…
“พอแล้ว เสี่ยวหม่านเพิ่งตื่น มีเรื่องอะไรจะต้องซักไซ้นางตอนนี้ให้ได้เลยหรือ”
ประจวบเหมาะว่าตอนนี้ท่านแม่ซูยกบะหมี่เข้ามา เห็นบุตรชายทำท่าทางพร้อมเทศนาก็ไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันใด จึงไล่พวกเขาออกไปด้วยสีหน้าบึ้งตึง ตอนหันหน้ากลับมามองจ้าวฉงอี สีหน้าก็เปลี่ยนกลับมาอ่อนโยนมีเมตตาได้อย่างน่าอัศจรรย์
“เสี่ยวหม่าน หิวแย่แล้วกระมัง ได้กินอะไรหน่อยประเดี๋ยวก็ดีขึ้น…เจ้าไม่ต้องลุกขึ้นมา นั่งกินอยู่บนเตียงนั่นล่ะ”
หลังจากวุ่นวายอยู่พักใหญ่ บิดากับบุตรชายบุตรสาวที่เพิ่งเข้ามาเพราะเสียงตะโกนโวยวายของนางก็ถูกไล่ออกไปหมด ภายในห้องเหลือแค่จ้าวฉงอีกับท่านแม่ซูสองคนอีกครั้ง เมื่อเผชิญหน้ากับความห่วงใยและกลิ่นหอมที่โชยมาปะทะใบหน้า จ้าวฉงอีก็เลือก…ก้มหน้ากินบะหมี่
บะหมี่ไก่ฉีกส่งกลิ่นหอมฉุย เส้นบะหมี่เหนียวนุ่ม น้ำแกงรสหวาน และยังเสริมด้วยผักป่าสดใหม่ ทั้งเป็นช่วงที่นางท้องร้องโครกครากพอดี ท่าทางการกินก็เลยไม่ค่อย…น่ามองเท่าไรนัก
“ช้าหน่อย กินช้าๆ หน่อย อย่ารีบกินสิ เดี๋ยวอาหารจะไม่ย่อยเอานะ” ท่านแม่ซูถูกท่าทางการกินของนางทำเอาตกใจเข้าแล้ว
อาหารไม่ย่อย? ไม่มีทางเสียหรอก กระเพาะของนางดั่งทำจากเหล็กกระนั้น ยามขาดแคลนเสบียงอาหารให้กินรากหญ้าหรือเปลือกไม้ไม่ใช่ปัญหาเลย แต่นางก็ยังลดความเร็วลงอยู่ดี…อย่างไรเสียตอนนี้ในสายตาของสตรีตรงหน้านางไม่ใช่จ้าวฉงอีที่ผิวหนาเนื้อหนา แต่เป็นซูเสี่ยวหม่านต่างหาก
นางกลับไม่รู้ตัวเลยว่าในสายตาของท่านแม่ซู ความเร็วที่ลดลงของนางก็ยังไม่ต่างอะไรกับการกินมูมมามเช่นกัน
“เด็กน้อยที่น่าสงสาร เจ้ากินช้าๆ หน่อย…” ท่านแม่ซูเริ่มเช็ดน้ำตาอีกแล้ว
จ้าวฉงอีหยุดชะงักไปชั่วขณะ ความเร็วในการกินลดลงอีกเล็กน้อย
ท่ามกลางความห่วงกังวลอย่างจริงจังเกินเหตุของท่านแม่ซู จ้าวฉงอีสวาปามบะหมี่รวมถึงน้ำแกงลงกระเพาะจนหมดเกลี้ยง…ตอนวางชามลงรู้สึกเหมือนกินไม่หนำใจอยู่บ้าง คิดว่ายังกินเพิ่มได้อีกสักชาม! แต่พอมองเห็นสายตาของท่านแม่ซู จ้าวฉงอีก็รู้ว่านางต้องควบคุมการกินอาหารของตนเองแล้ว…
จะว่าไปฝีมือการทำบะหมี่ของเหล่าจ้าวคนครัวในค่ายทหารก็ไม่เลวเลยทีเดียว น่าเสียดายนับตั้งแต่นางขัดราชโองการหนีการแต่งงานก็ถูกเจ้าพวกสุนัขจากหน่วยเทียนฉีไล่ตามจนต้องวิ่งวุ่นไปทั่วมาตลอดทาง นานมากแล้วที่ไม่ได้กินอาหารเต็มอิ่มอย่างนี้สักมื้อ นึกขึ้นมาก็อดเศร้าใจไม่ได้
เพิ่งจะวางชามลง มือของนางก็ถูกท่านแม่ซูกุมเอาไว้
จ้าวฉงอีหนังศีรษะชาหนึบ นึกว่าจะต้องเผชิญกับการซักไซ้แบบเป็นส่วนตัวจากอีกฝ่ายแน่แล้ว ผลปรากฏว่าท่านแม่ซูกลับไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น เพียงแค่พยุงนางนอนลงเงียบๆ สอดเก็บมุมผ้าห่มให้อย่างเอาใจใส่ จากนั้นใช้มือที่ค่อนข้างหยาบกร้านลูบแก้มของนาง
“พักผ่อนให้ดี ข้าอยู่ข้างนอกนี่เอง มีอะไรเจ้าก็ร้องเรียกได้ ไม่ต้องกลัวนะ”
จ้าวฉงอีตะลึงงันชั่วอึดใจ จากนั้นก็เม้มริมฝีปากแล้วขานรับคำหนึ่ง
ท่านแม่ซูแย้มยิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนจะยกชามเดินออกไป
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 15 ก.ย. 68