“รอยเท้าน้องสาวของข้าหายไปจากตรงนี้…” ชายหนุ่มที่แต่งกายอย่างบัณฑิตผู้นั้นมีสีหน้าเป็นกังวลอย่างมาก
“แม่นางซูระมัดระวังอยู่เสมอ ต่อให้ขึ้นมาเก็บสมุนไพรก็ไม่เคยขึ้นภูเขาลึกเช่นนี้…เกรงว่าจะเจอโจรภูเขาพวกนั้นเข้าแล้วจริงๆ” หนึ่งในเจ้าหน้าที่ที่ว่าการเอ่ย
ทันทีที่คำพูดประโยคนี้หลุดออกจากปากเขา ทุกคนก็มีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา
“เดี๋ยวก่อน ข้าตาฝาดไปแล้วกระมัง เหตุใดตรงนั้นมีแม่นางยืนอยู่คนหนึ่งเล่า!” จู่ๆ ก็มีคนชี้ไปข้างหน้าแล้วตะโกนเสียงดังลั่น
คนที่เหลือพากันหันไปมองก็พบว่าข้างหน้าห่างออกไปไม่ไกลมีแม่นางสวมกระโปรงยาวสีชาดยืนอยู่ใต้ต้นพุทราป่า…ถึงแม้จะสวมผ้าคลุมหน้าเห็นรูปโฉมไม่ชัดเจน แต่ดูเรือนร่างเช่นนั้นคงเป็นหญิงงามคนหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
นี่มันบนภูเขารกร้างกันดาร…จะมีหญิงสาวอยู่ได้อย่างไร
ชายที่แต่งกายอย่างบัณฑิตผู้นั้นลังเลชั่วครู่ ก่อนเดินเข้าไปประสานมือคารวะ “แม่นางท่านนี้ ขอเสียมารยาทถามสักหน่อย ท่านเคยเห็นหญิงสาวคนหนึ่ง ความสูง…เกือบจะเท่าๆ กับท่าน และสวมกระโปรงสีชาดเช่นเดียวกับท่านบ้างหรือไม่…”
ได้ยินมาถึงตรงนี้จ้าวหนานชิวที่กำลังเด็ดพุทราอยู่บนต้นไม้ก็ทนไม่ไหวแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนกล้าเกี้ยวพาราสีท่านแม่ทัพของนาง! นางประคองพุทราหอบใหญ่กระโดดลงมาด้านล่าง ตอบด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว
“คนเจ้าชู้มักมากมาจากที่ใดกัน! กินหัวใจหมีดีเสือ มาหรือไร ยังไม่รีบออกไปห่างๆ ท่าน…คุณหนูของข้าอีก”
จ้าวฉงอีได้ยินดังนั้นก็มองจ้าวหนานชิวแวบหนึ่งอย่างปลาบปลื้มใจ สุดท้ายในช่วงเวลาสำคัญอีกฝ่ายก็จำได้และไม่หลุดปากอะไรไป
“คน…เจ้าชู้มักมาก?” ชายที่แต่งกายอย่างบัณฑิตผู้นั้นนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ
“พอเห็นคุณหนูของข้า อยู่ดีๆ ก็เข้ามาทักทาย ท่านไม่ใช่คนเจ้าชู้มักมากแล้วจะเป็นผู้ใดกัน” จ้าวหนานชิวกลอกตาใส่เขาแล้วพูดจาเยาะเย้ย
ชายที่แต่งกายอย่างบัณฑิตผู้นั้นตระหนักได้ทันที คำพูดของตนเองเมื่อครู่ทำให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดได้โดยแท้ จึงรีบร้อนอธิบาย
“ทั้งสองท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าน้อยซูเจ๋อหลัน อาศัยอยู่ที่ตำบลตงหลีตรงเชิงเขานี่เอง น้องสาวของข้าขึ้นเขามาเก็บสมุนไพรไม่กลับบ้านเสียที ข้าถึงได้ขึ้นเขามาตามหาคน ไม่มีเจตนาจะล่วงเกินจริงๆ เพียงแค่ตอนน้องสาวข้าขึ้นเขามาสวมกระโปรงสีชาด รูปร่างยังใกล้เคียงกับแม่นางมาก จึงเอ่ยถามเช่นนี้”
จ้าวฉงอีโบกมือให้อย่างมีไมตรียิ่ง “ไม่เป็นไร แต่พวกเราขึ้นเขามาตลอดทางก็ไม่เห็นใครอื่นเลย”
ซูเจ๋อหลันได้ยินก็ผิดหวังเล็กน้อย ทว่ายังคงประสานมือคารวะ “ขอบคุณแม่นางมาก ที่นี่ไม่เหมาะรั้งอยู่นาน แม่นางรีบลงเขาโดยเร็วที่สุดจะดีกว่า”
“เพราะเหตุใด” จ้าวฉงอีถามด้วยความสงสัย
“บนเขาลูกนี้มีรังโจรอยู่ ไม่ปลอดภัยเท่าไรนัก” ซูเจ๋อหลันลดเสียงลงเอ่ยตอบ พอกล่าวจบก็หันกายเดินกลับไปหากลุ่มคนที่รอเขาอยู่ข้างๆ
“พี่ซู แม่นางผู้นั้นเป็นมาอย่างไรกันแน่ เหตุใดมาอยู่บนเขารกร้างกันดารเช่นนี้” เจ้าหน้าที่ที่ว่าการคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“อาจจะผ่านทางมา ข้าเตือนนางให้รีบลงเขาโดยเร็วแล้ว…” ซูเจ๋อหลันตอบ ไม่รู้เพราะเหตุใดถึงได้หันไปมองแม่นางผู้นั้นแวบหนึ่งโดยไม่รู้ตัว
นางยังยืนอยู่ใต้ต้นพุทราป่า คล้ายกำลังมองมาที่เขาเช่นกัน แต่พอเหลียวมองอีกครั้ง นางกลับหันหน้าไปพูดคุยกับเด็กรับใช้อารมณ์ร้อนผู้นั้น ซูเจ๋อหลันลอบส่ายหน้า คงจะมองผิดไปแล้ว เมื่อครู่เหตุใดถึงได้รู้สึกว่าดวงตาของแม่นางผู้นั้นเหมือนกับเสี่ยวหม่านไม่มีผิด…คงเพราะข้าเป็นห่วงเสี่ยวหม่านมากไปกระมัง
“ท่านแม่ทัพ ท่านคิดอะไรอยู่หรือ” จ้าวหนานชิวเห็นจ้าวฉงอีมองคนกลุ่มนั้นอย่างใจลอยจึงดึงแขนเสื้ออีกฝ่าย
“เมื่อครู่ชายผู้นั้นบอกว่าบนเขาลูกนี้มีโจรผู้ร้าย” จ้าวฉงอีมองดูคนกลุ่มนั้นเดินจากไปไกลพลางตอบเสียงแผ่วเบา
“อะไรนะ! ที่นี่ถึงกับมีรังโจรด้วย? ฝ่าบาทเคยมีราชโองการลงมาให้กวาดล้างแล้วไม่ใช่หรือ” จ้าวหนานชิวตะลึงงัน