ยามที่บ้านเมืองวุ่นวายชีวิตคนไร้ค่าดั่งหญ้าริมทาง พวกที่หลบหนีเข้าป่าไปเป็นโจรแล้วตั้งตนเป็นราชายึดครองภูเขาก็มีไม่ใช่น้อย หลังฮ่องเต้พระองค์ปัจจุบันขึ้นครองบัลลังก์ก็มีราชโองการให้กวาดล้าง กลุ่มใดสามารถอภัยโทษได้ก็ประกาศอภัยโทษแล้วรับเข้ากองทัพ กลุ่มใดกระทำเรื่องชั่วร้ายหรือความผิดมหันต์มิอาจอภัยได้ก็กวาดล้างไปเสีย ที่นี่ยังมีเภทภัยจากโจรผู้ร้ายได้อย่างไร
นางมองท่านแม่ทัพที่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา พลันเอ่ยขึ้นอย่างระแวดระวังว่า “ท่านแม่ทัพ อย่ายุ่งเรื่องชาวบ้านเลย”
“เจ้าเห็นคนที่เพิ่งจากไปพวกนั้นหรือยัง คนยี่สิบกว่าคน มีเจ้าหน้าที่ที่ว่าการแค่ไม่กี่คน ที่เหลือก็เป็นชาวไร่ชาวนาที่ถือเครื่องมือทำการเกษตรทั้งนั้น ส่วนคนที่เดินนำมา…ยังเป็นบัณฑิต ถ้าหากบนเขาลูกนี้มีโจรผู้ร้ายจริง พวกเขาไปคราวนี้คง…”
“แต่กว่าพวกเราจะสลัดคนของหน่วยเทียนฉีทิ้งไปได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าหากท่านวู่วามบุกไปกวาดล้างพวกโจรตัวคนเดียวก็เหมือนเข้าไปติดกับเองเลยน่ะสิ!” จ้าวหนานชิวไม่รอให้นางพูดจบก็เอ่ยปากขัดจังหวะด้วยความโมโหจนหายใจแทบไม่ทัน
“เจ้าพูดถูก” จ้าวฉงอีพยักหน้าอย่างครุ่นคิด “ไปเถอะ”
“จะไปที่ใดเจ้าคะ” จ้าวหนานชิวระแวงขึ้นมา
“ลงเขาน่ะสิ”
“จริงหรือ” จ้าวหนานชิวมองนางด้วยความสงสัย ไม่ค่อยเชื่อเท่าไรนักว่าจ้าวฉงอีจะเชื่อฟังถึงเพียงนี้
“กว่าพวกเราจะสลัดคนของหน่วยเทียนฉีไปได้ไม่ใช่เรื่องง่าย แน่นอนว่าจะเดินเข้าไปติดกับเองไม่ได้” จ้าวฉงอีแย้มยิ้มพลางบีบแก้มจ้าวหนานชิวเล่น “ข้างหน้าก็เป็นตำบลไป๋หลี่แล้ว พวกเราตกลงกันแล้ว เจ้าส่งข้าถึงตำบลไป๋หลี่ก็จะกลับไป”
“ห้ามบีบแก้มข้านะ!” จ้าวหนานชิวปัดมือนางออกไป หันกายกลับไปบังคับรถม้า
จ้าวฉงอีเดินตามหลังนางไปแล้วก้าวขึ้นรถม้า
รถม้าเคลื่อนตัวเสียงดังกึกกักไปตามเส้นทางบนเขาอีกครั้ง จ้าวหนานชิวบังคับรถม้าได้มั่นคงยิ่ง จ้าวฉงอีนั่งอยู่ในรถม้ากินพุทราป่าอย่างสบายใจ กัดคำเดียวหายไปครึ่งลูก ท่าทางติดอกติดใจเหลือหลาย
“ท่านแม่ทัพ ท่านยินยอมจริงหรือ…” จู่ๆ จ้าวหนานชิวที่นั่งนิ่งเงียบคอยบังคับรถม้าอยู่ด้านนอกมาตลอดก็ปริปากถาม
จ้าวฉงอีตกตะลึงขึ้นมา “เหตุใดจะไม่ยินยอมเล่า”
“ทั้งที่ท่านเป็นขุนนางผู้มีความดีความชอบ ผลงานสู้รบเลื่องลือไปทั่ว กลับจำใจต้องแบกรับชื่อเสียงฉาวโฉ่ว่าขัดราชโองการหนีการแต่งงาน เพราะแผนการชั่วของแคว้นหนานเซียงกับคำพูดใส่ร้ายของคนถ่อยพวกนั้น…”
วันนั้นมีรายงานด่วนจากชายแดน แคว้นหนานเซียงล่วงล้ำอาณาเขต จ้าวฉงอีรับราชโองการกรีธาทัพออกรบอีกครั้ง บุกตะลุยดุดันปานพายุไปตลอดทาง โจมตีแคว้นหนานเซียงจนถอยหนี แคว้นหนานเซียงที่แต่ไหนแต่ไรมาหยิ่งผยองอวดดีกลับเสนอการเจรจาสงบศึก อีกทั้งเป็นฝ่ายเอ่ยว่าจะส่งองค์ชายรองมาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ที่แคว้นซย่าจิ่งเพื่อเป็นตัวแทน ‘ความจริงใจในการเจรจาสงบศึก’ ซึ่งคนที่จะแต่งงานด้วยก็คือจ้าวฉงอี!
ยามนั้นทั้งในและนอกราชสำนักต่างวิพากษ์วิจารณ์กันทั่วหน้า มีคนกล่าวหาว่าจ้าวฉงอีสมคบกับศัตรู มีความสัมพันธ์ที่ไม่อาจเปิดเผยกับองค์ชายรองแห่งแคว้นหนานเซียง มิฉะนั้นเหตุใดแคว้นหนานเซียงถึงได้เสนอว่าต้องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับนาง แน่นอนยังมีคนเสนอความเห็นว่าไม่สู้ตอบตกลงเรื่องการแต่งงาน จะได้เปลี่ยนอาวุธเป็นผ้าไหมและเครื่องหยก* อย่างไรก็ตามในระหว่างการเจรจาสงบศึกของสองแคว้น ทูตแคว้นหนานเซียงกลับถูกลอบสังหารอย่างคาดไม่ถึง ยิ่งกว่านั้นหลักฐานแต่ละอย่างล้วนพุ่งเป้ามาที่จ้าวฉงอี…
“ไม่ได้ร้ายแรงปานนั้นหรอก เหตุผลหลักคือตัวข้าเองไม่อยากอยู่ดีๆ ก็มีสามีจากการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์น่ะสิ” จ้าวฉงอีถอนหายใจ พอนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา พุทราในปากก็ไม่หวานแล้ว
ใครจะคิดว่าในสถานการณ์เช่นนั้นองค์ชายรองนั่นกลับยืนกรานไม่ยอมเลิกราว่าจะต้องจัดพิธีแต่งงานกับนางให้ได้ แล้วยังกล่าวอย่างมีเหตุผลหนักแน่นว่าสังหารทูตก็เพื่อทำลายการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ ถ้าหากเขากับนางแต่งงานกันตามสัญญา แผนร้ายของคนชั่วก็ไม่สำเร็จดังใจหมาย อีกทั้งสามารถยืนยันได้ว่านางไม่ได้เป็นคนสังหารทูต!
เหตุผลช่างน่าประทับใจ
จ้าวฉงอีเชื่อเขาสิถึงจะแปลก!
แม้จะไม่รู้ว่าเป็นแผนร้ายอันใด แต่ต้องมีแผนร้ายแน่นอน จ้าวฉงอีจึงหนีมาอย่างไม่ลังเล