ท้องฟ้ามืดสลัวลงไปทุกขณะ แสงสีเรืองรองแผ่ปกคลุมไปทั่ว รถม้าคันเล็กธรรมดาๆ มาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูทางเข้าเขตตำบลไป๋หลี่
จ้าวฉงอีกอดห่อสัมภาระกระโดดลงจากรถม้า จากนั้นก็หันกายกลับไปลากห่อของยาวๆ ออกมาจากในรถม้า ของห่อนั้นแทบจะสูงเท่าครึ่งตัวคน มองภายนอกรูปร่างคล้ายกับตัวพิณ นางสะพายของห่อนั้นไว้บนหลังก่อนจะปัดมือเบาๆ พลางเหลียวมองจ้าวหนานชิวแล้วเอ่ยกับอีกฝ่าย
“เอาล่ะ พอแค่นี้ ไม่ต้องส่งแล้ว เจ้ากลับไปเถอะ” นางกล่าวจบก็คิดทบทวนเล็กน้อยก่อนกำชับเพิ่มอีกว่า “ถ้าหากฝ่าบาทตรัสถามขึ้นมา เจ้าก็บอกว่าข้าพลาดท่าร่วงตกหน้าผาไปแล้ว”
จ้าวหนานชิวสบถด้วยความไม่พอใจ “นี่ท่านจะให้ข้าหลอกลวงเบื้องสูงหรือ!”
“ฝ่าบาทเข้าพระทัยทะลุปรุโปร่งอยู่แล้ว ข้าทิ้งกองทัพสกุลจ้าวกับเจ้าเอาไว้แล้ว พระองค์จะทรงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเองนั่นล่ะ” จ้าวฉงอีโบกมือบอกปัดอย่างไม่ใส่ใจ อุ้มห่อสัมภาระไว้เตรียมจะเดินเข้าตำบลไป๋หลี่ “ถ้ามีวาสนาคงได้เจอกันอีก”
แต่หลังจากนั้นห่อของบนแผ่นหลังของนางพลันหนักอึ้งขึ้นเพราะถูกรั้งตัวไว้แล้ว…
จ้าวฉงอีหันหน้ากลับไปอย่างจนใจเล็กน้อย “วาจาของวิญญูชน สี่อาชายากตามทัน* นะ พวกเราตกลงกันแล้วไม่ใช่หรือ พอมาส่งถึงที่นี่เจ้าก็จะกลับไป?”
จ้าวหนานชิวดึงห่อของยาวๆ บนหลังนางเอาไว้ ปากอมลมจนแก้มป่อง ขอบตาแดงเรื่อขึ้นทีละน้อย
“เฮ้อ เจ้าอย่าร้องไห้สิ! เจ้าดูนะ เจ้าก็รู้แล้วว่าข้าพักอยู่ที่ใด กลับไปแล้วเจ้าอยากเจอข้าจริงๆ ก็มาหาข้าได้ทุกเมื่อ ไม่เลวร้ายถึงเพียงนั้นหรอก จริงๆ เลย ไม่เห็นจะต้อง…”
จ้าวหนานชิวเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพร้อมถลึงตาใส่นาง “ข้าร้องไห้ที่ใดกัน!”
“ได้ๆๆ แม่ทัพเสี่ยวจ้าวของพวกเราจะร้องไห้ได้อย่างไรกัน” จ้าวฉงอีรีบเอ่ยปลอบ “หลังข้าไปแล้ว กองทัพสกุลจ้าวนอกจากฮ่องเต้ก็คือเจ้าเป็นใหญ่ที่สุด น่าเกรงขามมากเลยนะ นี่เป็นความฝันของเจ้ามาตั้งแต่เด็กเลยไม่ใช่หรือ”
จ้าวหนานชิวกัดฟันไม่ยอมปริปากพูด
“ข้าจะหลบอยู่ที่นี่ระยะหนึ่ง การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์นั่นแค่มองก็รู้ว่าจงใจหาเรื่องข้า รออีกสักพักเมื่อปลอดภัยแล้วข้าก็จะกลับไป” จ้าวฉงอีกล่าวเสริม
“ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว” จ้าวหนานชิวมองตาเขียว “ไว้ข้ากลับถึงเมืองหลวงจะเร่งสืบหาความจริงโดยเร็วที่สุดเพื่อคืนความบริสุทธิ์ให้ท่าน! ถึงตอนนั้นจะรับท่านกลับไปอย่างมีเกียรติสมศักดิ์ศรี!”
“ถ้าอย่างนั้นฝากทุกอย่างไว้กับเจ้าแล้ว” จ้าวฉงอีตบไหล่อีกฝ่ายด้วยสีหน้าเชื่อมั่น
จ้าวหนานชิวนิ่งเงียบไปชั่วครู่ “ท่านอยู่ข้างนอกตัวคนเดียว…”
“ข้าเตรียมค่าเดินทางมาพอแล้ว” จ้าวฉงอีตบห่อสัมภาระตุงๆ ในอ้อมแขน
จ้าวหนานชิวชะงักไปประเดี๋ยวแล้วเอ่ยว่า “…นี่ก็เย็นมากแล้ว ไม่สู้ข้าพักอยู่ในตำบลนี้สักคืน พรุ่งนี้เช้าค่อยเดินทางดีกว่า”
“อย่าเลย!” จ้าวฉงอีรีบร้อนปฏิเสธ เห็นนางทำแก้มป่องก็เอ่ยปลอบ “ก่อนหน้านี้พวกเราเกือบถูกเปิดโปงก็เพราะเจ้าไม่ยอมแต่งตัวเป็นสาวใช้ไม่ใช่หรือ ข้าตั้งใจจะปักหลักอยู่ที่ตำบลไป๋หลี่นี่ล่ะ ถ้าเกิดคนของหน่วยเทียนฉีรู้เข้าว่าเจ้าเคยอยู่ค้างที่นี่จะต้องมีการตรวจค้นครั้งใหญ่กันอีกแน่นอน ฉวยโอกาสที่ฟ้ายังไม่มืดรีบไปเถอะ” ครั้นเอ่ยจบแล้วนึกอะไรบางอย่างได้จึงสั่งกำชับเพิ่มว่า “จริงสิ…ตอนกลางคืนบนเขานั่นไม่ค่อยปลอดภัย เจ้าอย่าลืมนะว่าต้องอ้อมไป”
“ข้ากลัวที่ใดกัน!” จ้าวหนานชิวแค่นเสียงขึ้นจมูก
“ข้ากลัว ข้ากลัวนะ!” จ้าวฉงอีรีบบอก “ข้ากลัวว่าคนของหน่วยเทียนฉีจะพบร่องรอย”
“ท่านพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมตงไหลใช่หรือไม่” พอเห็นว่าไม่มีทางต่อรองได้แล้ว จ้าวหนานชิวจึงได้แต่ล้มเลิกความคิดจะค้างแรมคืนหนึ่งไปแล้วถามยืนยันกับจ้าวฉงอีอีกรอบ
“ใช่ ถูกต้องแล้ว อย่ามัวพูดมากอยู่เลย รีบไปเถอะ” ในที่สุดจ้าวฉงอีก็อดใจไม่อยู่ผลักไสไล่ส่งนาง
จ้าวหนานชิวกลัวถูกคนบอกว่านางขี้บ่นที่สุดแล้ว นางชักสีหน้าทันใด หันหลังไปก็กระโดดขึ้นเพลาตรงหน้ารถม้าบังคับให้รถม้าเลี้ยวกลับ หลังรถม้าวิ่งออกไปไม่กี่ก้าว สุดท้ายนางก็ทนไม่ไหว เหลียวหลังไปมองจ้าวฉงอี “ท่านรอข้านะ แล้วก็…รักษาตัวด้วย”
จ้าวฉงอีโบกมือให้ด้วยรอยยิ้มจนตาหยี “ได้ ข้าจะรอเจ้า ไว้พบกัน”
“ไว้พบกัน” ในที่สุดรถม้าก็วิ่งไกลออกไป มองเห็นรางๆ ว่าจ้าวหนานชิวเช็ดตาไปด้วย
จ้าวฉงอีมองแล้วมองอีก จู่ๆ ก็ยิ้มออกมา ยังเป็นคนเจ้าน้ำตาอยู่ดีสินะ
นางหมุนกายเดินเข้าตำบลไป๋หลี่ไปในที่สุด โดยที่ไม่รู้เลยว่าห่างไกลออกไปด้านหลังนาง จ้าวหนานชิวหันหน้ามามองแวบหนึ่ง พอเห็นว่านางเดินเข้าตำบลไป๋หลี่ไปอย่างว่าง่ายถึงได้วางใจบังคับรถม้าจากไป