จ้าวฉงอีเข้ามาในตำบลแล้วไม่ได้ไปโรงเตี๊ยมตงไหล ทว่าไปที่ตลาดม้าซื้อม้าตัวหนึ่ง จากนั้นก็พลิกตัวขึ้นหลังม้าแล้วเร่งควบม้าตรงออกจากตำบลนี้ ห้อตะบึงมุ่งหน้าไปยังเส้นทางบนเขาตอนขามา
ท้องฟ้ามืดสนิทลงไปทุกขณะ ลมภูเขาหนาวสะท้านพัดชุดกระโปรงของนางเสียงดังพึ่บพั่บ ราวกับเสียงดังยามสายลมพัดผ่านธงในสนามรบ ห่อของยาวๆ ที่สะพายไว้บนหลังถูกลมพัดจนเปิดออกมุมหนึ่ง เผยให้เห็นด้ามดาบทำจากหนังสีดำเมี่ยม ผ้าคลุมหน้าของนางปลิวหายไปที่ใดไม่รู้ตั้งนานแล้ว บนใบหน้างามฉายแววเหี้ยมเกรียมเต็มเปี่ยม
ถึงแม้จะมาจากค่ายลั่วเยี่ยน แต่คงเป็นเพราะดำรงตำแหน่งแม่ทัพมานานแล้ว ภายในใจจึงมีความเที่ยงธรรมอยู่บ้าง…พบเจอกันก็ถือว่ามีวาสนา ในเมื่อมีวาสนา เช่นนั้นถือโอกาสไปปราบโจรหน่อยแล้วกัน
ยิ่งกว่านั้น…ชีวิตคนยี่สิบกว่าชีวิตเชียวนะ
จ้าวฉงอีควบม้าขึ้นเขามาตลอดทาง การปราบโจรนางมีประสบการณ์มากพอดู เมื่อครั้งเยาว์วัยท่ามกลางความสับสนนางยอมรับจ้าวอวิ๋นจู่หัวหน้าค่ายลั่วเยี่ยนเป็นบิดาบุญธรรมเพื่อข้าวมื้อหนึ่ง ตอนนั้นค่ายลั่วเยี่ยนก็เป็นค่ายโจรที่มีชื่อเสียงเลื่องลือระบือไกล นางเติบโตมาในค่ายโจร คงไม่มีผู้ใดรู้จักค่ายโจรดียิ่งกว่านาง
หลังบิดาบุญธรรมจากโลกนี้ไปก็ฝากฝังค่ายลั่วเยี่ยนอันใหญ่โตไว้กับนาง นางนำกำลังคนทั้งหลายในค่ายไปขอพึ่งบารมีซย่าจิ่งอ๋องซึ่งยังไม่ขึ้นครองบัลลังก์เป็นฮ่องเต้ ภายหลังเมื่อสถาปนาแว่นแคว้น ซย่าจิ่งอ๋องมีบัญชาให้กวาดล้างค่ายโจรแต่ละแห่ง นางก็ลงแรงไปมากทีเดียว…เพียงแต่พวกโจรบนเขาลูกนี้ซ่อนตัวได้ลึกลับนัก คาดไม่ถึงว่าระหว่างทางไม่มีเบาะแสใดให้สืบสาว ดูเหมือนเชี่ยวชาญการซ่อนตัวยิ่งกว่าโจรภูเขาทั่วไป ไม่น่าแปลกใจที่สามารถหลุดรอดจากการกวาดล้างไปได้
พอขึ้นเขามาได้ครึ่งทางจ้าวฉงอีสังเกตเห็นกลุ่มคนที่ขึ้นเขามาตามหาคนเมื่อช่วงบ่าย เห็นพวกเขายังเดินเตร็ดเตร่ไปตามเส้นทางบนเขาโดยไม่ได้พบกับโจรภูเขาเหล่านั้น นางค่อยสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย แล้วจึงเดินทางอ้อมพวกเขาไป ลอบขึ้นเขาลึกอย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียง
หน้าทางเข้าตำบลไป๋หลี่ จ้าวหนานชิวบังคับรถม้าย้อนกลับมาอีก นางคิดทบทวนหลายตลบ รู้สึกตงิดใจว่ายังมีตรงที่ใดผิดปกติสักแห่ง นางลงแส้ม้าบังคับรถม้าให้วิ่งเข้าตำบลแห่งนี้มา ก่อนจะสอบถามที่ตั้งโรงเตี๊ยมตงไหลแล้วมองหาไปตลอดทาง
ชื่อโรงเตี๊ยมตงไหลฟังดูยิ่งใหญ่มาก แต่ความจริงก็เป็นแค่โรงเตี๊ยมเล็กๆ แห่งหนึ่ง จ้าวหนานชิวหยุดรถม้าแล้วสาวเท้าเดินเข้าไป
แม้จะเป็นเวลาอาหารเย็น ทว่าในโรงเตี๊ยมก็มีคนไม่มาก เสี่ยวเอ้อร์เห็นมีแขกมาเยือนจึงกุลีกุจอเข้ามาต้อนรับด้วยรอยยิ้มเริงร่า
“นายท่านจะเข้าพักใช่หรือไม่ขอรับ”
“ข้ามาหาคน” จ้าวหนานชิวเอ่ย “ก่อนหน้านี้มีแม่นางแซ่จ้าวคนหนึ่งมาเข้าพักหรือไม่”
ทันใดนั้นรอยยิ้มของเสี่ยวเอ้อร์ก็ดูไม่กระตือรือร้นเท่าเดิมแล้ว เขาแบมือพลางคลี่ยิ้มจืดเจื่อนดุจปลาตายตัวหนึ่ง “ท่านเห็นว่าโรงเตี๊ยมของข้าเหมือนจะมีแขกคนอื่นหรือไม่เล่า”
จ้าวหนานชิวตะลึงงัน ร้อนใจจนขยุ้มสาบเสื้อของเสี่ยวเอ้อร์ขึ้นมา “ไม่มีจริงหรือ นางสวมชุดกระโปรงสีชาด หน้าตา…งดงามไม่น้อย” ประโยคสุดท้ายจ้าวหนานชิวบรรยายอย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไร อย่างไรเสียใช้คำว่า ‘งดงาม’ มาบรรยายท่านแม่ทัพ ในสายตาของนางไม่ต่างอะไรกับการลบหลู่ดูหมิ่นเลย
แต่ว่าช่วยไม่ได้ นี่คือความจริงที่ไร้อคติส่วนตน
เสี่ยวเอ้อร์ถูกคว้าตัวและขยุ้มสาบเสื้อเช่นนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าเลือนหายไปไม่มีเหลือแล้ว “แม่นางผู้งดงามจากที่ใดกัน มีแม่นางผู้งดงามข้าจะจำไม่ได้เชียวรึ เจ้ามาก่อเรื่องใช่หรือไม่ ข้าจะแจ้งทางการนะ!”
จ้าวหนานชิวปล่อยมือด้วยสีหน้าบึ้งตึง เค้นเสียงลอดไรฟันว่า “ขออภัย” จากนั้นก็ออกจากโรงเตี๊ยมตงไหลไปพร้อมไฟโทสะลุกโชน
จ้าวฉงอี ท่านมันจอมหลอกลวง!!!
นางปลดเพลารถม้าออกด้วยความโมโหจนหายใจแทบไม่ทันแล้วทิ้งตัวรถม้าไปเสียเลย ก่อนจะหันกลับไปพลิกตัวขึ้นหลังม้า เฆี่ยนแส้อย่างแรงครั้งหนึ่ง ม้าตัวนั้นก็กางสี่เท้าวิ่งเต็มเหยียดมุ่งหน้าออกจากตำบล
นางช่างโง่งมโดยแท้ ถึงได้เชื่อวาจาเหลวไหลของจ้าวฉงอี เจ้าคนสารเลวนั่นเจตนาทิ้งนางไว้เพื่อแอบไปปราบโจรคนเดียวแน่ๆ! นางรู้แต่แรกแล้วว่าเจ้าคนสารเลวนั่นไม่ได้คุยด้วยง่ายปานนั้น! ที่แท้ตอนลงเขามาอีกฝ่ายก็คิดคำนวณเอาไว้ในใจเรียบร้อยแล้ว!
…ยังบอกว่าอะไรนะ ตอนกลางคืนขึ้นเขาไม่ปลอดภัย ให้นางจำไว้ว่าต้องอ้อมไป!