บทที่ 2 เสี่ยวหม่านสกุลซู
เป็นอย่างที่จ้าวหนานชิวคิดไว้ ตอนนี้จ้าวฉงอีบุกเข้ามาในรังโจรเรียบร้อย ห่อของชิ้นยาวที่นางสะพายไว้บนหลังมาตลอดหายไปแล้ว มีเพียงดาบเล่มใหญ่ถืออยู่ในมือแทนที่ ด้ามดาบสั้น ด้านคมกว้าง ตัวดาบสีดำขลับตลอดทั้งเล่ม มีเพียงส่วนคมเปล่งประกาย…อีกทั้งมีขนาดใหญ่เกินไป แต่จ้าวฉงอีกลับจับด้ามดาบที่ดูไม่เข้ากับตนเองเลยสักนิดนั่นต่อสู้ฟาดฟันอย่างสาแก่ใจเต็มที่
เพิ่งใช้สันดาบเคาะโจรภูเขาที่ประมือด้วยจนสลบ อยู่ดีๆ นางก็จามออกมา…
เอ๊ะ นี่ใครกำลังคิดถึงข้าหรือไม่
เผลอเหม่อลอยไปเล็กน้อยก็มีธนูลอบทำร้ายพุ่งฉิวออกมา จ้าวฉงอีพลิกดาบเล่มใหญ่สกัดเอาไว้ได้ทันควัน ก่อนจะฝ่าเข้าไปข้างในต่อ ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสียงคนดังกึกก้องมาจากเบื้องหน้า แล้วก็เห็นกลุ่มคนวิ่งกรูกันเข้ามา นางเก็บงำความรู้สึกในใจไม่กล้าเหม่อลอยตามใจชอบอีก ได้แต่แบกดาบเล่มใหญ่ตะลุยเข้าไป…ปรากฏว่าโจรภูเขาเหล่านี้เป็นดั่งเม็ดทรายกระจัดกระจาย แทบไม่มีความสามารถในการต่อสู้เลย
“บอกมา คนอยู่ที่ใด” จ้าวฉงอีถือดาบชี้ไปทางคนสุดท้ายที่ยังยืนอยู่
คนผู้นั้นเป็นชายรูปร่างผอมบาง บนใบหน้าซีกซ้ายมีรอยแผลเป็นหนึ่งแห่ง เพิ่มความห้าวหาญดุดันให้กับใบหน้าธรรมดานั่นได้หลายส่วน แต่ยามนี้กลับหวาดกลัวจนอยากหนีไปจากตรงนี้ เขายกมือขึ้นด้วยความกลัวจนตัวสั่น ชี้ไปทางที่ตนเองวิ่งออกมา
“อยู่…อยู่ข้างใน…”
“นำทางไป” จ้าวฉงอีเชิดหน้าเล็กน้อย
คนผู้นั้นดูเหมือนไม่ค่อยเต็มใจเท่าไร ทว่าพอเหลือบมองดาบใหญ่สีดำขลับทั้งเล่มในมือนางแวบหนึ่ง ค่อยกวาดตามองพวกพ้องที่นอนกองเกลื่อนพื้นไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย ได้แต่หันหลังกลับอย่างตัวสั่นงันงก เดินนำทางอยู่ข้างหน้าอย่างจำนนต่อชะตากรรม
หลังเดินขึ้นบันไดมาตลอดทาง สุดท้ายคนผู้นั้นก็มาหยุดอยู่หน้าเรือนศิลาหลังหนึ่ง คล้ายกำลังหวาดกลัวอะไรบางอย่าง ไม่ยอมก้าวไปข้างหน้าต่อ
จ้าวฉงอีเห็นเขามีท่าทีลังเล ไม่รู้ว่าคิดวางอุบายอะไรอยู่ จึงถีบอีกฝ่ายเข้าไปข้างในเต็มฝีเท้า จากนั้นตนเองก็เดินตามเข้าไปด้วย
ภายในเรือนศิลาบรรยากาศเงียบสงัด เปลวเทียนริบหรี่วูบไหวไปตามแรงลม ขับเน้นให้ข้างในนี้ประเดี๋ยวมืดประเดี๋ยวสว่าง ตำแหน่งตรงกลางเบื้องหน้าเป็นเก้าอี้ขนาดใหญ่ที่ไม่รู้ว่าปูทับด้วยหนังสัตว์ชนิดใด บนเก้าอี้ตัวนั้นมีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ เรือนกายสูงใหญ่ ช่วงไหล่กว้าง เนื่องจากหันหลังให้แสงสว่างจึงมองเห็นรูปโฉมของเขาไม่ชัด เปลวเทียนวูบไหวดึงเงาของเขาให้ทอดยาว ให้ความรู้สึกอันตรายอย่างประหลาด ราวกับจะมีสัตว์ร้ายโผล่ออกมากัดกินคนได้ทุกเมื่อ
จ้าวฉงอีกระชับดาบเล่มใหญ่แน่นกว่าเดิม หันหน้าไปมองคนที่ถูกนางถีบโครมเข้ามาผู้นั้น “คนล่ะ”
ชายที่ถูกถีบเข้ามาล้มคว่ำอยู่กับพื้น มีสีหน้าอยากร่ำไห้แต่ไร้น้ำตา ยกมือสั่นระริกชี้ไปทางชายที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ผู้นั้น “อยู่…อยู่นั่นอย่างไรเล่า”
แม้แต่เสียงยังเจือแววสะอื้นไห้ ราวกับได้รับความไม่เป็นธรรมอย่างที่สุด นี่มิใช่ถามทั้งที่รู้อยู่แล้วหรือไร!
จ้าวฉงอีเผยสีหน้าฉงนสงสัย “ไม่ใช่ ข้าถามว่าแม่นางผู้นั้นที่พวกเจ้าลักพาตัวมาล่ะ”
“แม่นางอะไรกัน” โจรภูเขาดูงุนงงยิ่งกว่านางเสียอีก
จ้าวฉงอีมุมปากกระตุก
ในเวลานี้เองชายที่นั่งเงียบๆ อยู่ตรงกลางห้องมาตลอดคล้ายหัวเราะออกมาเบาๆ
“แม่ทัพจ้าว ให้ข้าตามหาตั้งนาน” เขาเอ่ยปากขึ้น
พอเขาเอ่ยปาก จ้าวฉงอีก็เข้าใจกระจ่างแจ้ง ที่แท้บรรดาโจรภูเขาที่วิ่งกรูออกมาอย่างกระจัดกระจายก่อนหน้านี้ไม่ได้ตั้งใจมาประมือกับนางเลย แต่พวกเขากำลัง…หลบหนีต่างหาก!
ช่างบังเอิญนัก นางก็เตรียมจะหนีเช่นกัน แม้กล่าวว่าในสนามรบไม่มีทหารหนีทัพ แต่ตอนนี้นางไม่ได้อยู่ในสนามรบเสียหน่อย ดังนั้นจึงหลบหนีได้โดยปราศจากแรงกดดันในใจ
จ้าวฉงอีไม่เอ่ยอะไรสักคำก็หันหลังวิ่งหนี
คนผู้นั้นราวกับคาดเดาการกระทำของนางได้ล่วงหน้า จึงทะยานร่างไล่ตามไปอย่างกระชั้นชิด