จ้าวฉงอีพลิกมือเหวี่ยงดาบใส่ฉับพลันอย่างไม่เกรงใจสักนิด คนผู้นั้นชักกระบี่มาต้านรับ ชั่วขณะที่คมอาวุธปะทะกันเกิดประกายไฟแปลบปลาบ สุดท้ายแล้วดาบใหญ่ของจ้าวฉงอีน้ำหนักมากกว่าเล็กน้อย จึงกดดันให้คนผู้นั้นถอยหลังไปหนึ่งก้าว จ้าวฉงอีไม่คิดจะต่อสู้พัวพัน โจมตีสำเร็จครั้งหนึ่งก็หันหลังวิ่งหนีออกไปข้างนอก
ยามประมือกันเมื่อครู่จ้าวฉงอีก็คาดเดาฐานะของคนผู้นั้นได้แล้ว มีความเป็นไปได้อยู่แปดส่วนว่าจะเป็นสุนัขตัวที่จ้าวหนานชิวเคยเอ่ยถึง…ไม่สิ เป็นโจวเวินหรานผู้บัญชาการหน่วยเทียนฉี
แต่สุนัขนี่ก็ช่างสุนัขจริงๆ คนผู้นี้คำนวณแม่นยำแล้วว่านางจะอดใจไม่ไหวมากวาดล้างรังโจรแน่ ฉะนั้นถึงได้มาเฝ้าตอรอกระต่าย กระมัง
ในฐานะกระต่ายโง่ที่โผล่มาหาถึงหน้าประตูตัวนั้น จ้าวฉงอีมีไฟโทสะอัดแน่นเต็มท้อง ขณะกำลังนินทาว่าร้ายในใจ จู่ๆ ก็มีไอสังหารชวนพรั่นพรึงพุ่งมาจากด้านหลัง สัญชาตญาณจากการผ่านสนามรบมานับร้อยนับพันครั้งทำให้นางเบี่ยงกายหลบแล้วหมุนกลับไปยกดาบเข้าปะทะทันใด ถึงจะเป็นเช่นนี้ตรงหัวไหล่นางก็รับไปหนึ่งกระบี่ จ้าวฉงอีมีนิสัยไม่ยอมเสียเปรียบมาตั้งแต่เล็ก จึงฟันคืนไปหนึ่งดาบอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย และทิ้งรอยแผลขนาดใหญ่ไว้บนร่างเขาเช่นกัน
พระจันทร์ซ่อนเร้นท่ามกลางหมู่เมฆ บนภูเขามืดสนิทจนยื่นมือมองไม่เห็นนิ้วทั้งห้า จ้าวฉงอีสู้ไปถอยไป แต่เจ้าสุนัขนั่นไม่ให้โอกาสหลบหนีกับนางเลยสักนิดเดียว นางจึงต้องกัดฟันโรมรันกับเขา รอกระทั่งนางได้สติกลับคืนมาก็ถูกเขาไล่ต้อนมาถึงริมหน้าผาแล้ว
ยามนี้บนร่างจ้าวฉงอีได้แผลลายพร้อยไปไม่น้อย แน่นอนว่าเจ้าสุนัขตัวนั้นก็บาดเจ็บไม่เบาเหมือนกัน
“จำเป็นด้วยหรือ วันนี้เหลือทางถอยให้ วันหลังค่อยพบกันไม่ได้หรือไร” จ้าวฉงอีจับดาบไว้มั่นพลางเอ่ยด้วยเสียงกระหืดกระหอบ
เจ้าสุนัขนั่นไม่รู้ว่าเป็นเพราะถูกฟาดฟันจนเกิดโทสะขึ้นมาจริงๆ ด้วยหรือไม่ พอได้ยินประโยคนี้ของนางก็โกรธจนหลุดขำ ตอบกลับเสียงแหบพร่า
“ไม่มีปัญหา ถ้าหากท่านแม่ทัพยอมตามข้ากลับเมืองหลวง ตลอดเส้นทางนี้พวกเราก็จะได้พบหน้ากันทุกวันแล้ว เหตุใดต้องรอวันหลังด้วย”
เหอะ ถุย! จ้าวฉงอีอยากจะถ่มน้ำลายใส่เขาสักหน นางยกดาบขึ้นฟันฉับ ในเมื่อไม่ให้โอกาสนางหลบหนี จ้าวฉงอีจึงเริ่มฟาดฟันเขาให้ถึงตาย ไม่กี่ลมหายใจถัดมาบนร่างคนทั้งสองก็มีบาดแผลเพิ่มขึ้นหลายแห่ง ขณะกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด ลูกธนูลอบทำร้ายดอกหนึ่งพลันพุ่งออกมาจากความมืดมิด จ้าวฉงอีเบี่ยงกายหลบตามสัญชาตญาณ ฝ่าเท้ากลับเหยียบลงบนความว่างเปล่า ร่วงตกจากหน้าผาลงไปเสียอย่างนั้น…
ชั่วพริบตาตอนที่ตกลงไป พระจันทร์สุกใสก็ส่องแสงทะลุผ่านหมู่เมฆ จ้าวฉงอีเงยหน้าขึ้นอยากดูสักหน่อยว่าเจ้าคนสารเลวที่ไล่ล่านางมาตลอดทางทั้งยังเป็นเหตุให้นางตกหน้าผาอย่างอ้อมๆ จะมีหน้าตาเช่นไรกันแน่ จะมีรูปโฉมงามดุจพานอันสมคำเล่าลือจริงหรือไม่ แต่กลับมองเห็นเขากระโจนมาถึงขอบหน้าผาพร้อมยื่นมือมาคล้ายอยากจะดึงตัวนางเอาไว้ แสงจันทร์เพียงสะท้อนให้เห็นเค้าโครงใบหน้าหนึ่งอย่างเลือนราง…สุดท้ายก็ยังเห็นอะไรไม่ชัดเจน!
จ้าวฉงอียังย้อนคิดถึงว่าถ้าหากรู้แต่แรกคงไม่สั่งให้จ้าวหนานชิวกราบทูลฮ่องเต้ว่านางตกหน้าผาไปแล้ว อาหารกินไปเรื่อยได้ แต่คำพูดจะเอ่ยไปเรื่อยไม่ได้จริงๆ ตอนนี้ประเสริฐนัก วาจาอัปมงคลกลายเป็นเรื่องจริงแล้ว!
จ้าวหนานชิวควบม้าห้อตะบึงมาตลอดทาง พยายามอย่างเต็มกำลังเร่งรุดตามให้ทันเวลาและตามหารังโจรที่ซ่อนอยู่กลางเขาลึกนั่นพบจนได้
ทว่าที่นี่กลับดูว่างเปล่าไร้ผู้คน นอกจากร่องรอยการต่อสู้เละเทะทั่วบริเวณก็ไม่เหลืออะไรอยู่เลย นางเดินตามร่องรอยไปจนถึงขอบหน้าผา พบเศษผ้าสีชาดชิ้นหนึ่งจากตรงนี้อย่างไม่อยากจะเชื่อ…นี่มาจากชุดที่จ้าวฉงอีสวมใส่
“จ้าวฉงอี!! เจ้าคนสารเลว!!!”
จ้าวฉงอีเบิกตาโพลงโดยพลัน ข้างหูราวกับยังสะท้อนเสียงร้องตะโกนแทบขาดใจของจ้าวหนานชิว…
ยามนี้แสงแดดกำลังดี แผ่ปกคลุมบนร่างนางอย่างอบอุ่นจนทำให้คนรู้สึกเกียจคร้าน ภายในห้องอบอวลด้วยกลิ่นหอมสดชื่น คล้ายจะเป็นกลิ่นของสมุนไพรบางชนิด ทว่ากลับหอมหวนอย่างบอกไม่ถูก
จ้าวฉงอีเพิ่งลืมตาขึ้นก็อดใจไม่อยู่เกือบจะหลับตาลงอีกครั้ง อยากนอนให้เต็มอิ่มสักงีบ…เอ๊ะ ไม่ถูกสิ นี่มันที่ใดกัน