ในที่สุดจ้าวฉงอีก็รู้สึกตื่นตัวขึ้นเล็กน้อย นางเหลียวมองไปรอบด้านอย่างใจเย็นพักหนึ่ง ห้องนี้ไม่นับว่าใหญ่โตเท่าไรนัก แต่เก็บกวาดสะอาดเรียบร้อย ชั้นวางกระถางต้นไม้ตรงมุมผนังมีต้นฮุ่ยหลัน ตั้งอยู่กระถางหนึ่ง ท่าทางได้รับการดูแลอย่างดียิ่ง ดอกสีเขียวอ่อนมีกลีบซ้อนกันเป็นชั้นๆ ประหนึ่งผีเสื้อหลายตัวบินวนเวียนร่ายรำ ดึงดูดให้ผู้คนชื่นชมเอ็นดู
นี่ดูเหมือนห้องนอนของหญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือน แต่ก็มีการตกแต่งเรียบง่ายกว่ามาก ไม่ค่อยเหมือนห้องนอนของคุณหนูสกุลซุนผู้นั้นที่นางเคยเห็นมาเท่าไร
จ้าวฉงอีคิดทบทวนเล็กน้อย ตอนนั้นข้าหลบหลีกลูกธนูที่ถูกยิงมาจากมุมมืดนั่น เลยไม่ทันระวังพลัดตกหน้าผา…นี่หมายความว่า…มีคนช่วยข้าไว้?
นางลุกขึ้นนั่งก้มสำรวจร่างตนเอง ยามนี้นางเปลี่ยนมาสวมชุดนอนสะอาดเอี่ยม บาดแผลก็ถูกจัดการอย่างเหมาะสมเช่นกัน ขณะกำลังใคร่ครวญ จู่ๆ ประตูห้องก็ถูกผลักเปิดออก พอนางเงยหน้าขึ้นก็สบประสานกับดวงตาฉายแววประหลาดใจระคนยินดีเปี่ยมล้นคู่หนึ่ง
ผู้ที่เดินเข้ามาเป็นสตรีออกเรือนแล้วซึ่งดูมีอายุไม่น้อย ถึงกาลเวลาจะทิ้งร่องรอยลึกไว้ตรงหางตาของนางก็ยังคงมองเห็นรูปโฉมอันงดงามเมื่อครั้งเยาว์วัยได้รางๆ เพียงแต่เพราะเป็นคนร่างผอมบางเกินไป ตรงหว่างคิ้วกับมุมปากต่างมีริ้วรอยจางๆ ประทับเอาไว้ มองดูแล้วแฝงความไร้น้ำใจอยู่หลายส่วน ทว่ายามนี้บนใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู จึงดูเป็นกันเองขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
“เสี่ยวหม่านเจ้าฟื้นแล้ว?” นางเร่งฝีเท้าเดินเข้ามา “เหตุใดถึงลุกขึ้นนั่งเอง ไม่เรียกคนเล่า หิวน้ำหรือไม่ หรือว่าหิวข้าว? ข้าจะให้ยายเฒ่าเฝิงไปที่ครัวเคี่ยวน้ำแกงไก่ ต้มบะหมี่ไก่ฉีกให้เจ้าสักชามดีหรือไม่”
ความห่วงใยท่วมท้นกับการซักถามต่อเนื่องเป็นชุดทำให้จ้าวฉงอีสับสนอยู่บ้าง เสี่ยวหม่าน? เหตุใดถึงเรียกข้าว่าเสี่ยวหม่าน อีกอย่าง…คนตรงหน้านี้คือใครกัน
“เหตุใดถึงมองข้าเช่นนี้เล่า” สตรีผู้นี้เห็นจ้าวฉงอีทำหน้าตกตะลึง บนใบหน้าก็เผยความร้อนใจ “เกิดอะไรขึ้น รู้สึกไม่สบายตรงที่ใด ยังเจ็บแผลอยู่มากกระมัง” ครั้นเห็นหญิงสาวตรงหน้าแค่มองตนแล้วนิ่งอึ้งไป ไม่ส่งเสียงอะไรออกมาสักคำ นางจึงกระวนกระวายใจยิ่งกว่าเดิม ยื่นมือมาหมายจะแตะหน้าผากอีกฝ่าย “เสี่ยวหม่าน เสี่ยวหม่าน เจ้าเป็นอะไรไป อย่าทำให้แม่ตกใจสิ…”
…แม่?
จ้าวฉงอีขยับหลบตามสัญชาตญาณ มองดูสีหน้าร้อนใจของสตรีตรงหน้าก็รู้สึกงุนงงเล็กน้อย นี่ข้า…ยังฝันอยู่อีกหรือ ไม่น่ากระมัง ต่อให้ฝันอยู่ ที่ผ่านมาก็ไม่เคยฝันว่าข้ามีแม่
แน่นอน ทุกคนสมควรมีมารดาผู้ให้กำเนิด จ้าวฉงอีก็ไม่มีทางกระโดดออกมาจากซอกหิน บอกตามตรงว่านางจำเรื่องราวในวัยเด็กไม่ค่อยได้สักเท่าไร จำได้แค่ว่าหลังมารดาคลอดน้องชาย มีอยู่ครั้งหนึ่งมารดาพานางไปตลาด ซื้อถังหูลู่ ให้นางไม้หนึ่งแล้วบอกให้รออยู่ที่เดิมอย่างเชื่อฟัง…จากนั้นมารดาก็ไม่ได้กลับมาหานางอีกเลย
แต่ดูเหมือนมารดาของนางในความทรงจำจะไม่ได้หน้าตาเช่นนี้
“เสี่ยวหม่าน? เสี่ยวหม่าน?” สตรีผู้นั้นเห็นนางจ้องมองตนเองด้วยสายตาว่างเปล่า ท่าทางราวกับไม่รู้จักกันเลยก็ตกใจจนขอบตาแดงเรื่อ หันหน้าไปตะโกนลั่น “นายท่าน! นายท่าน! ท่านไปตายที่ใดแล้ว! รีบมาดูเร็ว เสี่ยวหม่านจำใครไม่ได้แล้ว!”
เสียงของนางแหลมสูงดังกึกก้อง ไม่นานนักก็มีคนพุ่งเข้ามาสองคน
คนแรกที่พุ่งเข้ามาคือสาวน้อยอายุแปดเก้าขวบ ด้านหลังยังมีเด็กชายที่มีใบหน้าคล้ายกับนางมากตามมาด้วยคนหนึ่ง หากมิใช่เพราะแต่งกายไม่เหมือนกันก็เกือบแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร ดูแล้วคงเป็น…ฝาแฝดคู่หนึ่ง
“ท่านแม่ พี่สาวเป็นอะไรไปหรือ” สาวน้อยขยับเข้ามาใกล้ เอ่ยถามด้วยสีหน้าประหม่า
สตรีผู้นั้นถือโอกาสดึงสาวน้อยเข้ามาแล้วหันไปถามจ้าวฉงอี “เสี่ยวหม่าน เจ้ายังจำปั้นซย่าน้องสาวของเจ้าได้หรือไม่”
จ้าวฉงอีมองหน้าสาวน้อยผู้นั้น แล้วสลับไปมองเด็กชายที่ตามหลังนางมาอีกคน
“เทียนตงเล่า ยังจำเทียนตงได้หรือไม่” สตรีผู้นั้นยังชี้ไปที่เด็กชายพร้อมเอ่ยถามอีก เห็นนางยังทำหน้าเหมือนไม่รู้จักกันก็กรีดร้องขึ้นมาอีกหน “เทียนตง! รีบไปเรียกท่านพ่อเจ้ามา! พี่สาวเจ้าจำใครไม่ได้แล้ว!”
“…” จ้าวฉงอีรู้สึกปวดหู
ซูเทียนตงชักเท้าวิ่งออกไป ประเดี๋ยวเดียวก็ย้อนกลับมา ด้านหลังยังมีบุรุษวัยกลางคนรูปร่างท้วมตามมาด้วย ทันทีที่เขาก้าวเข้าประตูก็รีบร้อนตรงเข้ามาวางมือบนข้อมือของจ้าวฉงอีเพื่อจับชีพจร
จ้าวฉงอีหลุบตาลงมองนิ้วมือที่วางทาบบนข้อมือตนเอง นางไม่ขยับเขยื้อน กลับยังรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยด้วย…ท่านหมอผู้นี้มาถึงเร็วจริงๆ
“เสี่ยวหม่าน นี่คือท่านพ่อเจ้า เจ้ายังจำได้หรือไม่” สตรีผู้นั้นนั่งอยู่ข้างๆ คอยจับมือข้างหนึ่งของนางไว้แล้วเอ่ยถามต่ออย่างไม่ยินยอม
จ้าวฉงอีนิ่งเงียบไป…อา ที่แท้ท่านหมอผู้นี้คือ ‘ท่านพ่อ’ นี่เอง ไม่น่าแปลกใจเลยที่มาถึงเร็วเพียงนี้
ในตอนนี้เองที่ประตูก็มีอีกคนวิ่งเข้ามา เป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคมคายคนหนึ่ง
จ้าวฉงอีเงยหน้ามองเขาแวบหนึ่ง อ๊ะ ในที่สุดก็มีคนที่ข้ารู้จักแล้ว!