บทที่ 7 รอยแผลเป็น
จ้าวฉงอีอ้าปากหาวหวอด ขยี้ตาหันหลังเดินกลับห้องไป คิดถึงท่านแม่ซูที่บอกว่าอีกประเดี๋ยวจะมาเปลี่ยนยาให้ นางก้มหน้าลงคลายคอเสื้อมองดูตำแหน่งที่พันแผลบนร่างกาย ต่อให้นางมีใบหน้าดุจเดียวกับซูเสี่ยวหม่าน ทว่าซูเสี่ยวหม่านเป็นหญิงสาวผู้ได้รับความรักเหลือล้นจากครอบครัว นางกลับใช้ชีวิตอย่างขรุขระกว่านั้นมากนัก เรื่องอื่นไม่ต้องเอ่ยถึง บนหัวไหล่นางมีบาดแผลจากธนูสองจุดซึ่งเป็นแผลที่หลงเหลือจากการถูกลอบทำร้ายในสนามรบ บนแผ่นหลังยังมีแผลเป็นขนาดใหญ่จากคมดาบ…บางทีอาจเป็นบาดแผลใหม่ที่เพิ่งได้มาตอนนางร่วงตกหน้าผา บาดแผลเก่าผ่านมานานหลายปีเหล่านั้นพลอยโดนปกปิดไปด้วยแล้ว คนสกุลซูห่วงกังวลจนว้าวุ่นไปหมด ไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติเหล่านี้เลยกระมัง
นางดึงกระชับคอเสื้อให้เรียบร้อย รอท่านแม่ซูมาเปลี่ยนยา รอไปรอมาก็นอนตะแคงหลับคาเตียงไปแล้ว
อย่างไรเสียก็วิ่งวุ่นมาทั้งคืน บนร่างยังมีอาการบาดเจ็บ ต่อให้เป็นหนังทองแดงกระดูกเหล็กก็เหนื่อยล้าอยู่บ้างเหมือนกัน
นอนหลับไปคราวนี้สบายดีเหลือเกิน ไม่ปรากฏความฝันอื่นใดเลยสักนิด ขณะนอนหลับสนิทนั้นจู่ๆ นางก็รู้สึกได้ว่าข้างกายมีคนอยู่ จ้าวฉงอีลืมตาอย่างตื่นตัวโดยพลัน มืออีกข้างยื่นไปคลำดาบตามสัญชาตญาณ กลับคลำพบความว่างเปล่า…ตอนนี้เองถึงนึกขึ้นได้ว่าดาบคุนอู๋ของนางร่วงตกหน้าผาตามมาด้วยกัน ยังไม่ได้ตามหากลับมา
ท่านแม่ซูที่นั่งอยู่ตรงขอบเตียงสะดุ้งตกใจกับการลืมตาอย่างกะทันหันของนาง “นี่เจ้าเป็นอะไรไป”
จ้าวฉงอีคงจะบอกว่าตกใจตื่นเพราะรู้สึกว่ามีคนแปลกหน้าอยู่ข้างกายไม่ได้…นางเผยรอยยิ้มเก้อเขิน “ฝันร้ายน่ะเจ้าค่ะ…”
แต่ความจริงการนอนตื่นนี้นับว่าหลับเต็มอิ่ม ทั้งยังหลับลึกมาก ไม่ฝันเห็นอะไรสักอย่างเดียว
จากนั้นนางก็ย้อนคิดว่าก่อนหน้านี้ฝันอะไรแปลกประหลาดอย่างนั้นได้คงเพราะว่างเกินไปจริงดังคาด วาจาบิดาบุญธรรมไม่เคยหลอกนางอยู่แล้ว
“ไม่ต้องกลัวนะ ไม่ต้องกลัว ความฝันหลอกลวงทั้งนั้น” ท่านแม่ซูฟังจบก็ลูบศีรษะนางด้วยความรักทะนุถนอมพร้อมเอ่ยปลอบเสียงแผ่วเบา
…เคยเปิดหูเปิดตากับภาพอันโหดร้ายยามท่านแม่ซูสั่งสอนเด็กเกเรมาแล้ว ท่านแม่ซูที่พูดจาเสียงเบานุ่มนวลกลับทำให้นางรับไม่ค่อยได้เท่าไร
จ้าวฉงอีอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อย จึงตัดบทเบี่ยงประเด็นสนทนา “ท่านมาเมื่อใดกัน เหตุใดไม่ปลุกข้าล่ะ”
“เพิ่งมา เห็นเจ้าหลับสบายอยู่เลยไม่ได้ปลุก สุดท้ายเจ้าก็ตื่นขึ้นมาเอง” ท่านแม่ซูยิ้มพลางเอ่ย นางหมุนกายไปหยิบกล่องยาบนโต๊ะด้านข้าง “ในเมื่อตื่นแล้วก็ถอดเสื้อผ้าออกเสีย ข้าจะเปลี่ยนยาให้เจ้า”
จ้าวฉงอีคิดถึงบาดแผลใหม่เหล่านั้นที่ทับซ้อนกับบาดแผลเก่าบนร่าง ถ้าอีกฝ่ายพบพิรุธเข้าล่ะ…
นางยังต้องยืมตัวตนนี้ไปอีกสักระยะ จึงเอ่ยขึ้นว่า “ข้าจัดการเองแล้วกัน”
“แผลบนหลังเจ้าจะจัดการอย่างไร เจ้ามองเห็นหรือเอื้อมถึงรึ” ท่านแม่ซูชำเลืองมองนาง “รีบถอดเสื้อผ้าเร็ว ข้าคือแม่เจ้านะ มีอะไรน่าอายกัน”
จ้าวฉงอีเห็นดังนั้นก็รู้ว่าตนเองเปลี่ยนความคิดของอีกฝ่ายไม่ได้ จึงต้องกัดฟันยอมถอดเสื้อผ้าออก จากนั้นก็นอนคว่ำลงบนหมอน ขณะนางร่วงจากหน้าผาก็ตั้งใจปกป้องส่วนสำคัญเอาไว้ บาดแผลที่ค่อนข้างสาหัสส่วนใหญ่จะอยู่บนแผ่นหลัง สำหรับบาดแผลอื่นนั้นล้วนได้มาจากตอนต่อสู้กับเจ้าคนสารเลวโจวเวินหราน
ท่านแม่ซูยกกล่องยามา แกะผ้าที่พันรอบบาดแผลไว้ออกมาทีละชิ้น จากนั้นขอบตาก็แดงเรื่อขึ้นมาทันที “แผลนี้เหตุใดถึงเปิดอีกแล้วล่ะ…”
จ้าวฉงอีร้อนตัวเล็กน้อย ไม่ได้ส่งเสียงตอบ
ท่านแม่ซูทำความสะอาดบาดแผลอย่างระมัดระวัง ก่อนจะใส่ยาให้ใหม่แล้วค่อยพันแผลให้เรียบร้อย
จ้าวฉงอีวิตกกังวลอยู่ตลอด เห็นท่านแม่ซูช่วยพันแผลให้นางจนเสร็จโดยไม่สงสัยอะไรถึงได้โล่งอก
“ข้าลงโทษปั้นซย่าไปแล้ว นางอายุยังน้อยไม่รู้ความ…” จู่ๆ ท่านแม่ซูก็เอ่ยปากแล้วหยุดชะงักไปครู่หนึ่งค่อยเอ่ยต่อ “พวกเจ้าเป็นพี่น้องกัน เจ้าอย่าได้คิดแค้นนางเลยนะ”
จ้าวฉงอีตะลึงงัน ก่อนหน้านี้ท่านแม่ซูสั่งสอนซูปั้นซย่าต่อหน้าก็เพื่อทำให้นางเห็นกระมัง นี่คงกลัวว่าระหว่างพวกนางพี่น้องจะเกิดเรื่องบาดหมางกันสินะ…ถ้าหากเป็นซูเสี่ยวหม่านคงจะให้อภัยน้องสาว แต่นางไม่ใช่ซูเสี่ยวหม่าน ไม่มีสิทธิ์ไปให้อภัยเจ้าเด็กเกเรคนนั้นแทนซูเสี่ยวหม่าน
นางจึงแย้มยิ้มพลางว่า “ปั้นซย่ายังเด็ก สั่งสอนให้ดีๆ หน่อยก็รู้ความแล้วเจ้าค่ะ”
พอท่านแม่ซูได้ยินเช่นนี้คงเข้าใจว่านางให้อภัยซูปั้นซย่าแล้ว กลับไม่รู้เลยแม้แต่น้อยว่าจุดที่จ้าวฉงอีเน้นย้ำคือ ‘สั่งสอนให้ดีๆ หน่อย’ ต่างหาก
ยามนี้ซูปั้นซย่าที่ถูกลงโทษให้หันหน้าเข้าผนังสำนึกผิดจู่ๆ ก็ตัวสั่นขึ้นมา รู้สึกถึงความหนาวยะเยือกระลอกหนึ่ง ประหนึ่งถูกบางสิ่งจ้องเขม็งอยู่