โจวเวินหรานเหลือบมองของในถุงผ้าแวบหนึ่ง ยังคงไม่ขยับเขยื้อน
เขาไม่ขยับ แต่จ้าวฉงอีกลับน้ำลายสอนิดๆ แล้ว ขนมฟักเชื่อมพวกนั้นเป็นประกายแวววาว ผิวนอกคล้ายมีน้ำค้างแข็งจับตัวกันชั้นหนึ่ง มองดูล่อตาล่อใจเหลือเกิน เลยอดใจไม่ไหวขอกินก่อนเพื่อแสดงความเคารพแล้ว
พอขนมเข้าปากก็รับรู้ได้ว่าขนมฟักเชื่อมทั้งเหนียวนุ่มและหอมหวาน นางกินจนดวงตาสองข้างหรี่ลง
โจวเวินหรานเห็นนางกินถึงได้ยื่นมือไปหยิบชิ้นหนึ่งแล้วค่อยๆ เอาใส่ปาก
“มันอร่อยมากเลยใช่หรือไม่!” จ้าวฉงอีอดใจไม่ไหวจึงมองหาแนวร่วม
โจวเวินหรานขบเคี้ยวขนมฟักเชื่อมในปากอย่างเชื่องช้า รสสัมผัสในปากนั้นค่อนข้างประหลาด มีความหวานเลี่ยนและยังเจือกลิ่นหอมแปลกๆ เล็กน้อย แต่เห็นนางเฝ้ามองด้วยสีหน้าคาดหวัง…ก็เหมือนจะอร่อยมากจริงๆ
ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจนัก นับเป็นการแสดงออกให้รู้ว่าเห็นด้วยกับความคิดนาง
“นี่เป็นขนมที่ยายเฒ่าเฝิงทำ ฝีมือการทำครัวของยายเฒ่าเฝิงดีมากเลย เกาลัดคั่วน้ำตาลที่นางทำก็อร่อย หากครั้งหน้ามีอีกข้าจะเอามาให้ท่านลองชิมนะ” จ้าวฉงอีเอ่ยพลางยิ้มตาหยี นางมีความสุขกับการแบ่งปันมากทีเดียว โดยเฉพาะเมื่ออีกฝ่ายยังเป็นถึงคนงาม
โจวเวินหรานจ้องมองนางอย่างเงียบงัน จู่ๆ ก็เอ่ยปากว่า “เมื่อครู่คุณชายซูมาที่นี่ด้วย นำหยกประดับมาให้ข้าชิ้นหนึ่ง”
จ้าวฉงอีพยักหน้าตอบ นางหยิบขนมฟักเชื่อมใส่ปากอีกชิ้นพลางเอ่ยว่า “ข้ารู้แล้ว วันนี้ข้ากับพี่ใหญ่ไปที่ว่าการมาด้วยกัน หัวหน้ามือปราบในที่ว่าการฝากพี่ใหญ่นำกลับมาให้ บอกว่าเดิมทีเป็นของที่ห้อยอยู่บนตัวท่าน แต่เห็นท่านหมดสติไปกลัวจะหล่นหายก็เลยดึงออกมาเก็บไว้ วันนี้ได้ยินว่าท่านฟื้นแล้วจึงส่งกลับคืนเจ้าของเดิม” กล่าวจบนางก็มองหน้าเขา “ท่านเห็นหยกประดับชิ้นนั้นแล้ว นึกอะไรออกบ้างหรือไม่”
โจวเวินหรานส่ายหน้า จับสังเกตสีหน้าของนาง เขาตัดสินใจแล้วว่าหากจ้าวฉงอีชักสีหน้า เขาก็จะยืนกรานหนักแน่นว่าตนสูญเสียความทรงจำ…ไม่เชื่อหรอกว่านางจะลงมือกับคนที่ลืมสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างได้ลง เขารู้ว่าจ้าวฉงอีมีจุดอ่อนอยู่อย่างหนึ่งคือให้ความสำคัญกับคุณธรรมน้ำใจ ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านไปบ้าง แล้วก็ไม่นิยมรังแกคนอ่อนแอ ไม่อย่างนั้นเขาก็คงไม่มั่นใจว่านางจะขึ้นเขามาปราบโจรจนประสบความสำเร็จกับการเฝ้าตอรอกระต่าย
…แม้ตอนนี้ผลลัพธ์ที่เป็นอยู่ยังซับซ้อนยากจะอธิบาย แต่อย่างน้อยเขาก็คาดเดาครึ่งแรกได้แม่นยำ!
ใครจะรู้ว่าพอจ้าวฉงอีปัดๆ เศษเกล็ดน้ำตาลบนมือแล้วจะเอ่ยว่า “หยกประดับของท่านให้ข้าดูได้หรือไม่”
“เจ้ายังไม่ได้ดูหรือ” โจวเวินหรานตะลึงงัน
“พี่ใหญ่เขาเป็นวิญญูชนน่ะสิ รับการไหว้วานจากผู้อื่นให้ส่งมันคืนเจ้าของเดิม จะให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องเช่นข้าดูได้อย่างไร ถึงเป็นน้องสาวก็ไม่ยอม” จ้าวฉงอีเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ซูเจ๋อหลันก็มีนิสัยเช่นนี้ เพราะฉะนั้นจ้าวฉงอีจึงไม่พยายามเอ่ยปากขอดูหยกประดับ
โจวเวินหรานคิดไม่ถึงว่าเขาใคร่ครวญอย่างละเอียดรอบคอบคนเดียวอยู่นานสองนาน คิดฟุ้งซ่านไปว่าจ้าวฉงอีเห็นหยกประดับของเขาแล้วจะมีท่าทีอย่างนั้นอย่างนี้ ผลสุดท้าย…นางกลับยังไม่ได้เห็นมันเลยหรือ
เขาเริ่มลังเลขึ้นมาเล็กน้อย หรือข้าสมควรหาเหตุผลสักข้อปฏิเสธไม่ให้นางดู แต่…ถ้าหากคนสูญเสียความทรงจำเช่นข้าปฏิเสธไปยามนี้จะยิ่งดูไม่เหมาะสม หรือว่านี่จะเป็นแค่การหยั่งเชิงของนาง?
ภายในหัวโจวเวินหรานความคิดหมุนวนเร็วรี่ แต่เพียงเวลาชั่วพริบตาเขาก็ตัดสินใจได้แล้ว
เขาหยิบหยกประดับชิ้นนั้นจากในอกเสื้อส่งให้นาง