จ้าวฉงอีรับหยกประดับมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น พินิจพิจารณาอย่างละเอียดประเดี๋ยวหนึ่งก็เอาไปส่องสะท้อนกับแสงเทียน เป็นหยกสีขาวเกลี้ยงเกลาที่เปล่งประกายแวววาว บนหยกแกะสลักลวดลายเมฆและค้างคาวคล้ายคทาหรูอี้ ทั้งยังแกะสลักอักษรไว้สองตัว หน้าตาเหมือนกับตราประทับอันหนึ่ง ฝีมือประณีตวิจิตรยิ่งนัก
จ้าวฉงอีมองดูอักษรสองตัวนั้น อ่านออกเสียงเบาๆ “หรูอวี้”
โจวเวินหรานจ้องมองสีหน้าของนางไม่ละสายตา เส้นประสาทตึงเครียดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“เป็นชื่อของท่านหรือไม่” จู่ๆ จ้าวฉงอีก็มองไปที่เขาพร้อมเอ่ยถาม
โจวเวินหรานกำลังจ้องนางเขม็ง ไม่คาดคิดว่านางจะมองมากะทันหันจึงรีบเบนสายตาหนีทันใดราวกับเป็นปฏิกิริยาสะท้อนกลับ จากนั้นก็เห็นนางพลันโน้มตัวมาข้างหน้า เขาบีบเศษกระเบื้องในมือแน่นขึ้นตามสัญชาตญาณ…หากเข้ามาใกล้อีกนิดเขาก็จะฉวยโอกาสตอนอีกฝ่ายไม่ทันระวังได้ หืม?
จ้าวฉงอีใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อเย็นๆ ที่ผุดพรายบนหน้าผากให้เขา “ท่านเป็นอะไรไป เหตุใดเหงื่อออกมากถึงเพียงนี้ ไม่สบายตรงที่ใดหรือ”
นางคิดแล้วก็รู้สึกเสียดายเล็กน้อยว่าในเวลาเช่นนี้สมควรใช้ผ้าเช็ดหน้า แต่จนใจที่นางเป็นคนหยาบกระด้าง มักจะลืมพกผ้าเช็ดหน้ามาด้วย ทำได้แค่ใช้แขนเสื้อ…ถึงอย่างไรก็ดูบุ่มบ่ามล่วงเกินคนงามไปไม่น้อยแล้ว
กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของหญิงสาวโชยมาปะทะใบหน้า โจวเวินหรานรู้สึกว่าร่างกายตนเองแข็งทื่อเป็นก้อนหินไปเรียบร้อย สมองถึงกับใช้งานไม่ได้ไปชั่วขณะหนึ่ง
…ไม่ถูกสิ นี่จะต้องเป็นแผนลวงของนางแน่ อุบายหญิงงามอะไรทำนองนั้น จะดูถูกข้าเกินไปแล้วจริงๆ!
“คุณชาย? คุณชาย?” จ้าวฉงอียื่นมือมาโบกตรงหน้าเขา “สีหน้าท่านดูไม่ค่อยดี ข้าประคองท่านขึ้นเตียงนอนพักดีกว่า”
“…ขอบคุณมาก” โจวเวินหรานขยับริมฝีปาก ได้ยินตนเองตอบกลับไปเช่นนี้
จ้าวฉงอีประคองเขาขึ้นไปบนเตียงแล้วยังพยุงเขานอนลง ถึงค่อยส่งหยกประดับในมือคืนให้
“เนื้อหยกประดับชิ้นนี้ดีมากเลย บางทีตัวอักษรที่สลักไว้บนหยกอาจเกี่ยวข้องกับชื่อของท่าน ถ้าหากยังนึกไม่ออกท่านก็อย่าเพิ่งไปคิดมากเลย พิษนั่น…ทำร้ายสุขภาพนัก ท่านถอนพิษออกให้หมด พักรักษาตัวจนหายดีแล้วค่อยว่ากันเถอะ” จ้าวฉงอีใช้น้ำเสียงนุ่มนวลปลอบโยนเขาอย่างเต็มที่
หลักๆ เป็นเพราะมองคนงามใต้แสงตะเกียงแล้ว…อืม ดูงามยิ่งกว่าเดิม
นางทนเห็นคนงามทุกข์ทรมานไม่ได้จริงๆ
สายตาโจวเวินหรานเป็นประกายวิบวับ “ได้”
จ้าวฉงอีจึงช่วยเหน็บมุมผ้าห่มให้เขา “เช่นนั้นท่านก็พักผ่อนให้ดีๆ เดี๋ยวข้าจะมาเยี่ยมท่านอีก”
โจวเวินหรานมองนางโน้มตัวลงมาส่งยิ้มให้ ยังช่วยเหน็บมุมผ้าห่มให้เขาอีก แล้วก็จะออกไปทั้งอย่างนี้
จะออกไปทั้งอย่างนี้?
นางจำหยกประดับที่ข้าพกติดตัวไม่เคยห่างชิ้นนั้นไม่ได้? นางไม่รู้ว่าโจวเวินหรานผู้บัญชาการหน่วยเทียนฉีมีอีกชื่อว่าหรูอวี้?
ผ่านไปพักใหญ่โจวเวินหรานก็หัวเราะเบาๆ ทีหนึ่งแล้ววางเศษกระเบื้องเคลือบในมือไว้ใต้หมอน ก่อนจะตะแคงตัวมองถุงผ้าเล็กๆ บนโต๊ะที่ใส่ขนมฟักเชื่อมแวบหนึ่ง
นี่นางเอาไว้ให้ข้าใช่หรือไม่…เมื่อครู่นางกินแล้วดวงตาหยีโค้ง มองดูก็รู้ว่าชอบกินมาก
(ติดตามต่อได้ในรูปแบบฉบับเต็มได้ในเดือนตุลาคม 2568)