บทที่ 143
“ได้ยินว่ากู้เจี้ยนหลีวันๆ หมกตัวอยู่แต่ในบ้าน ออกมาข้างนอกน้อยเหลือเกินนับตั้งแต่เสียโฉม วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของบิดานาง อู่เสียนอ๋องจัดงานใหญ่โตเป็นปีแรก ไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องมาปรากฏโฉมกระมัง” ฉินซูหวั่นเอ่ย
จ้าวอวิ๋นหลิงแม่นางวัยกำดัดที่นั่งอยู่ติดกับนางกล่าวรับว่า “ข้าเห็นว่าวันนี้เป็นหลีคนพี่คอยต้อนรับแขกเหรื่อสตรีโดยตลอด ยังไม่เห็นหลีคนน้องเลย ทว่าต่อให้นางปรากฏโฉมแล้วอย่างไร ก็คงมิพ้นคลุมผ้าคลุมหน้า ก่อนหน้านี้นางออกข้างนอกล้วนคลุมหน้าไว้ทุกครั้ง”
“คลุมผ้าคลุมหน้าอะไรกัน ไม่คลุมจะดีกว่า” ฉินซูหวั่นพูดด้วยน้ำเสียงเนิบๆ
จ้าวอวิ๋นหลิงป้องปากยิ้ม “เช่นนั้นประเดี๋ยวนางปรากฏโฉม เจ้าไปเปิดผ้าคลุมบนหน้านางก็มิใช่สิ้นเรื่องแล้วหรือ เลียนอย่างถังหงฮุ่ยอย่างไรเล่า”
“เจ้าอย่ามาหลอกข้าเสียให้ยาก ถังหงฮุ่ยตอนนี้น่าสังเวชมากเพียงใด ถูกสองตระกูลถอนหมั้นติดต่อกัน ทั้งยังถูกนายหญิงของตระกูลดุด่าต่อหน้าธารกำนัล โชคดีที่นางไม่คิดเล็กคิดน้อย หากมีนิสัยหัวรั้น ไม่เอาผ้าขาวผูกคอก็คงได้แล่นไปบวชชีแล้ว”
เหอเป่าจวินกับเฉิงเหมยหย่าเดินจูงมือกันมาได้ยินบทสนทนาของพวกนางสองคนเข้าพอดี เฉิงเหมยหย่าจึงเอ่ยปากว่า “เกรงว่าพวกเจ้าสองคนคงต้องผิดหวังแล้ว ใบหน้าของเจี้ยนหลีหายดีแล้ว ยามนี้ผิวพรรณเนียนนุ่มประดุจก้อนไขมัน ไม่หลงเหลือรอยใดๆ แม้เพียงน้อยนิด ในความเห็นข้า นางงามพริ้งเพริศกว่าเมื่อก่อนหลายส่วนเลยทีเดียว”
จู่ๆ ได้ยินเสียงของเฉิงเหมยหย่า ฉินซูหวั่นก็นิ่งงันไป ที่สุดแล้วก็เป็นการวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่นลับหลัง ถูกคนมาพบเห็นเข้าออกจะขายหน้าอยู่สักหน่อย
ฉินซูหวั่นฉีกยิ้ม แต่กลับไม่เป็นธรรมชาตินัก นางกล่าวว่า “เจ้าอย่าได้มาหลอกกัน รอยตะปุ่มตะป่ำบนหน้านางจะหายไปได้อย่างไร นั่นเป็นตุ่มแผลเป็นที่หลงเหลือมาจากไข้ทรพิษเชียวนะ”
“เป็นความจริง ข้ากับเป่าจวินเห็นเองกับตา!” เฉิงเหมยหย่ารีบร้อนแก้ต่าง “นางยังรับปากจะช่วยหาหมอฝีมือดีมาศึกษาตำรับยาแล้วมอบให้ข้าด้วย!”
ฉินซูหวั่นเพียงยิ้มโดยไม่เอ่ยคำใด บนหน้ามีคำว่าไม่เชื่อเขียนอยู่เต็ม
เฉิงเหมยหย่าร้อนใจแล้ว รีบกล่าวว่า “ไม่เพียงข้าเห็น เป่าจวิน อวี๋จวิน รวมถึงคุณหนูสามสกุลเยวี่ยก็เห็นกันทั้งนั้น เป่าจวิน เจ้าว่าใช่หรือไม่”
“ใช่แล้ว ใบหน้าของกู้เจี้ยนหลีหายดีแล้วจริงๆ”
ฉินซูหวั่นประเมินมองเฉิงเหมยหย่ากับเหอเป่าจวินด้วยความเคลือบแคลง ในใจนางไม่เชื่อ ถึงอย่างไรก็ไม่เคยได้ยินว่าตุ่มแผลเป็นจากไข้ทรพิษจะเลือนหายไปได้ นับประสาอะไรกับบอกว่าผิวพรรณเนียนนุ่มประดุจก้อนไขมัน ทั้งยังงามกว่าเมื่อก่อนอีก…
เป็นไปไม่ได้โดยสิ้นเชิง
นางแค่นหัวเราะเบาๆ ทีหนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าสองคนมีไมตรีอันดีกับนาง แต่เรื่องพรรค์นี้มีอันใดน่าปิดบังกัน ประเดี๋ยวนางปรากฏโฉม ผู้อื่นไม่เชื่อ ขอให้นางเปิดผ้าคลุมหน้า จะมิใช่ทำให้นางขายหน้าหนักหรือไร อ้อ…ข้ารู้แล้ว คงมิใช่ว่าพวกเจ้าสองคนมีความคิดนี้อยู่พอดีกระมัง”
“เจ้าอย่าพูดเหลวไหล!”
จ้าวอวิ๋นหลิงรีบไกล่เกลี่ยสถานการณ์ “พวกเราอย่าพูดเรื่องนี้กันอีกเลย นางจะงดงามหรืออัปลักษณ์เกี่ยวอะไรกับพวกเรา”
เหอเป่าจวินเองก็หยิกเฉิงเหมยหย่าไปหนึ่งทีแล้วเกลี้ยกล่อมเช่นกัน “ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว พวกเราไปหาปี้หลันกันเถอะ…”
ฉินซูหวั่นพลันรู้สึกเหมือนถูกจับจุดอ่อนได้ จึงร้อง “แหม” ด้วยน้ำเสียงประชดประชันก่อนกล่าวว่า “เดิมทีเจ้าโกหกพกลมอยู่คนเดียว ยามนี้เป่าจวินยังมาพลอยร่วมมือกับเจ้าด้วยอีกคน เป่าจวินเอ๋ย เจ้าอย่าถูกนางหลอกเอาเชียว”
ถึงแม้จ้าวอวิ๋นหลิงและเหอเป่าจวินจะอยากเกลี้ยกล่อมคนทั้งสองให้เลิกแล้วต่อกัน ทว่าฉินซูหวั่นกับเฉิงเหมยหย่ากลับต่อปากต่อคำกันไปมา ทุ่มเถียงกันเสียงดังจนดึงดูดคนรอบข้างมามุงกันแล้ว
ฉินซูหวั่นมั่นใจว่าเฉิงเหมยหย่าพูดเหลวไหล ยิ่งอับอายจนกลายเป็นโกรธ “อะไรกัน ยามเจี้ยนหลีตกยากกลับไม่เห็นเงาเจ้า ยามนี้รี่มาประจบ นางไม่ได้อยู่ตรงนี้เสียหน่อย เจ้าประจบประแจงอะไร ยังมีหน้ามาคุยโวสอพลอ! คนทั่วไปเทียบไม่ติดฝุ่น!”
เฉิงเหมยหย่าโมโหจนหน้าซีดแล้ว ชี้หน้าฉินซูหวั่นพลางพูดไม่หยุดว่านางวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่นเสียๆ หายๆ ลับหลัง
“มีใครได้ยินบ้าง อวิ๋นหลิงเจ้าได้ยินหรือไม่” ฉินซูหวั่นไม่ยอมรับ
จ้าวอวิ๋นหลิงไม่กล้าปริปาก
“เลิกทะเลาะกันได้แล้ว คนของก่วงเสียนอ๋องกับเซียงซีกงมาถึงกันแล้ว”
คนที่มุงดูรีบขวางพวกนางไว้ จะปล่อยให้เรื่องบานปลายจนกลายเป็นขี้ปากคนไม่ได้ ทว่าหลังแยกย้ายแล้วบรรดาคนทั้งหลายกลับล้วนจับกลุ่มเล็กๆ พูดคุยกันถึงใบหน้าของกู้เจี้ยนหลี ในจำนวนนั้นย่อมมิขาดผู้ที่มีไมตรีอันดีกับพวกหลงอวี๋จวิน เฉิงเหมยหย่า และเหอเป่าจวิน คนเหล่านี้ได้ยินว่ากู้เจี้ยนหลีกลับมามีรูปโฉมงดงามตามเดิมแล้ว ทว่าแม้จะได้ยินข่าว แต่ไม่ได้เห็นเองกับตาย่อมจะมีท่าทีสงสัย ต่อให้ยาลบเลือนแผลเป็นดีเพียงใดก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่หลงเหลือรอยแม้แต่นิดเดียวกระมัง
คนจำนวนมากไม่เชื่อโดยสิ้นเชิง