นางยิ้มพลางสัพยอกพี่สาวว่า “ข้าได้ยินจี้ชุนบอกแล้ว ยามนี้พี่หญิงหมกมุ่นกับการหาเงิน เปิดร้านค้าไม่หยุดไม่หย่อน…”
คนทั้งสองเพิ่งจะเลี้ยวผ่านประตูหรูอี้ก็พบกับหรงหยวนโย่วและหรงหวั่นอินสองพี่น้องที่เดินสวนมา
ภูเขาที่อยู่ห่างไปไกลปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลนทับซ้อนกันเป็นชั้นๆ ขับเน้นสีแดงบนกายสองพี่น้องสกุลกู้ให้ยิ่งดูงามเพริศแพร้ว ยามมองเห็นสีแดงนี้ หรงหยวนโย่วก็ตะลึงงันไปเล็กน้อย
เป็นหรงหวั่นอินยิ้มพลางเอ่ยปากขึ้นก่อน “ไม่ได้มาเมืองหลวงเสียหลายปี พี่ไจ้หลีกับพี่เจี้ยนหลียังจำข้าได้อยู่หรือไม่”
“หวั่นอิน” กู้เจี้ยนหลียกยิ้ม
สองพี่น้องสกุลหรงเกิดวันเดียวกับกู้เจี้ยนหลี เพียงแต่เกิดช้ากว่าหนึ่งชั่วยาม
สมัยเด็กพี่น้องสกุลหรงเคยมาพักที่จวนสกุลกู้อยู่สองสามครั้ง ทุกครั้งล้วนอยู่ราวหกเจ็ดวัน พวกเขาจึงรู้จักกันตั้งแต่เด็ก ความสัมพันธ์นับว่าพอใช้ได้
แม้พูดไม่ได้ว่าไม่สนิทสนมมากพอ แต่หนุ่มสาวจากตระกูลสูงศักดิ์ในเมืองหลวงเหล่านี้ วันนี้คุยกันถูกคอ วันพรุ่งนี้ก็อาจจะเป็นอริกันได้ เนื่องด้วยทุกอย่างล้วนยึดวงศ์ตระกูลเป็นสำคัญ เพื่อเลี่ยงความกระอักกระอ่วน หนุ่มสาวเหล่านี้ล้วนไม่อาจคบหากับใครลึกซึ้งเกินไปได้
“ไม่พบกันหลายปี หวั่นอินโตเป็นสาวแล้ว หยวนโย่วเองก็รูปร่างหน้าตาดีขึ้นจนจำไม่ได้แล้ว” กู้ไจ้หลีมองไปยังหรงหยวนโย่วที่อยู่ด้านข้าง “ซื่อจื่อน้อย นี่เจ้าโตแล้วเลยไม่เรียกพวกข้าว่าพี่หญิงแล้วหรือ”
หรงหยวนโย่วตัวแข็งทื่อ ก้มหน้าลงอย่างประดักประเดิดแล้วประสานมือค้อมตัว กล่าวด้วยท่าทางเกร็งๆ “หยวนโย่วขอแสดงคารวะ”
ที่สุดแล้วก็ไม่ได้เรียกกู้เจี้ยนหลีและกู้ไจ้หลีว่าพี่หญิง
กู้ไจ้หลีกับกู้เจี้ยนหลีคารวะตอบ ยิ้มพลางกล่าวกับหรงหวั่นอินอีกสองสามคำแล้วก็ปลีกตัวมุ่งหน้าไปยังสวนดอกไม้ที่เรือนหลัง พวกนางสองคนเดินไปไกลมากแล้ว หรงหยวนโย่วกลับยังคงมองตามทิศทางที่พวกนางจากไป
หรงหวั่นอินกะพริบตา พินิจดูสีหน้าของหรงหยวนโย่วด้วยความสงสัย นางพลันหัวเราะพรืดแล้วเดินไปข้างหน้าพี่ชาย ใช้สองมือประกบใบหน้าเขา บิดให้หันมามองทางตนเอง
“ท่านพี่ อันที่จริงข้าก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ ท่านมองข้ามากหน่อยดีหรือไม่”
“อย่ากวน” หรงหยวนโย่วดึงมือน้องสาวออกแล้วถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
หรงหวั่นอินสองมือไพล่หลัง มองพี่ชายด้วยท่าทางซุกซนพลางพูดอย่างเรื่อยเฉื่อย “ท่านพี่…ท่านว่าสีแดงใดน่ามองกว่ากัน แดงเข้มอมชมพูหรือแดงอ่อน” นางพลันรีบพูดเสริมอีกว่า “ท่านพี่มองใครอยู่ พี่ไจ้หลีหรือพี่เจี้ยนหลี”
“อย่าพูดเหลวไหล” หรงหยวนโย่วทำหน้าตึง หันหลังกลับแล้วออกเดิน
หรงหวั่นอินยกชายกระโปรงวิ่งเหยาะๆ ตามไป รีบร้อนเอ่ยว่า “ไม่ว่าคนใดท่านก็มองไม่ได้ทั้งนั้นนะ!”
หรงหยวนโย่วไม่สนใจนาง
หรงหวั่นอินพูดเจื้อยแจ้วต่อ “ท่านพี่ ท่านกระซิบบอกข้าหน่อย พี่หญิงทั้งสองล้วนเป็นคนดีเลิศ เพียงแต่…ดูเหมือนจะไม่ค่อยเหมาะสม”
“หรงหวั่นอิน” หรงหยวนโย่วหยุดเดิน มองน้องสาวด้วยท่าทางเคร่งขรึมแล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เหมาะสมหรือไม่ มีเพียงข้าที่ตัดสินได้ เจ้าไม่ต้องพลอยมีส่วนร่วมส่งเดช ยิ่งอย่าได้ไปพูดเหลวไหลกับคนนอก เจ้าเป็นสตรีควรจะเข้าใจ อย่าได้ทำลายชื่อเสียงสตรีก่อนที่การจะสำเร็จเด็ดขาด”
หรงหวั่นอินตะลึงงัน เหม่อมองพี่ชายพลางเอ่ยถามอย่างทึ่มทื่อด้วยอารามตกใจ “ท่านพี่ นี่ท่านจริงจังหรือ”
หรงหยวนโย่วหันกายกลับ แต่ละย่างก้าวแน่วแน่มั่นคง เขาหยุดลงอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยอีกครั้ง กลับหลังหันอย่างเด็ดเดี่ยวแล้วไล่ตามไปยังทิศทางที่กู้ไจ้หลีกับกู้เจี้ยนหลีเดินจากไป
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 21 พ.ย. 68