บทที่ 145
หรงหยวนโย่วตามสองพี่น้องสกุลกู้ไปไม่ทัน กลับถูกสาวใช้ข้างกายมารดาตามหาจนเจอเสียก่อน สาวใช้ส่งเสื้อคลุมให้เขาตามคำสั่งของฮูหยิน ที่ดินศักดินาของเซียงซีกงอยู่ที่เมืองชิงหนาน เป็นจุดใต้สุดของแคว้นต้าจี ตลอดทั้งปีไม่มีฤดูหนาว ทุกครั้งที่มาเมืองหลวงตอนยังเล็ก หรงหยวนโย่วเห็นหิมะตกก็จะรู้สึกอัศจรรย์ใจ ต้องได้เป็นไข้หวัดเสียทุกปี แม้ว่าปัจจุบันเขาจะเติบโตแล้ว มารดาก็ยังไม่วางใจ กลัวเขาจะหนาว
หรงหยวนโย่วรับเสื้อคลุมมาแล้วเริ่มครุ่นคิด เขารู้ดีว่าเรื่องแต่งงานนี้ต้องถูกขัดขวางเป็นแน่ หากเขาถามกู้ไจ้หลีแล้วภายหลังถูกทางบ้านขัดขวาง จะเป็นการไม่ดีต่อนาง เขาควรไปโน้มน้าวมารดาของตนให้ได้ก่อนจะดีกว่า จึงตามสาวใช้ไปพบมารดาทันที
หรงฮูหยินป่วยหนักสามปีเพิ่งจะดีขึ้นปีนี้ แต่จะอย่างไรก็แข็งแรงไม่เท่าเมื่อก่อน มาสถานที่ที่หนาวเย็นอย่างเมืองหย่งอันจึงรู้สึกไม่ค่อยสบายนัก พอนางมาถึงเถาซื่อก็จัดห้องส่วนตัวให้นางพักผ่อนชั่วคราว ทำร่างกายให้อบอุ่นก่อน
ในห้องจุดถ่านไฟไว้อย่างเพียงพอ หรงฮูหยินเอนตัวอยู่บนตั่งคนงาม* อย่างอ่อนล้า กอดเตาอุ่นมือไว้ในอ้อมแขน กาลเวลาและความเจ็บป่วยทิ้งร่องรอยไว้บนตัวนาง แต่หาได้สูญเสียความงดงามในวันวานและความน่าเกรงขามของภรรยาเอกผู้สืบทอดตระกูลไป
“ท่านแม่รู้สึกอุ่นขึ้นหรือยังขอรับ” หรงหยวนโย่วเอ่ยถาม
“เจ้าไม่ไปรำลึกความหลังกับมิตรสหายเก่าก่อน ไม่ตามบิดาเจ้าไปพบหน้าเหล่าผู้อาวุโส แล่นมาทำอะไรที่นี่” หรงฮูหยินถาม
หรงหยวนโย่วลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็เดินมานั่งลงข้างมารดาบนตั่ง
หรงฮูหยินมองเขาปราดหนึ่งด้วยความแปลกใจแล้วเอ่ยถามว่า “เรื่องอันใดทำความลำบากให้เจ้าเข้าแล้ว”
“หยวนโย่วใคร่ขอร้องท่านแม่ช่วยหาแม่สื่อไปเจรจาสู่ขอ”
หรงฮูหยินรีบวางเตาในมือลง ลุกขึ้นนั่งตัวตรง
“นี่เพิ่งเข้าจวนมาได้มิพ้นครึ่งชั่วยามก็มีหญิงสาวที่เข้าตาช่างเลือกคู่นี้ของบุตรชายข้าแล้ว?” หรงฮูหยินยิ้มก่อนจะเอ่ยถาม “หญิงสาวในวัยเหมาะสมที่ชิงหนานไม่มีใครเป็นที่ถูกใจบุตรชายข้าสักคน คุณหนูของตระกูลใดในเมืองหลวงมีความสามารถมากเพียงนี้กัน”
หรงหยวนโย่วร้อนตัวอยู่บ้าง เขาชะงักไปเล็กน้อยถึงค่อยเอ่ยปากตอบ “สกุลกู้ขอรับ”
“สกุลกู้? ยามมาพักที่จวนสกุลกู้ในเมืองหลวงเมื่อหลายปีก่อน ข้าเห็นคุณหนูรองสกุลกู้ดูไม่เลว ใช่ว่าไม่เคยมีความคิดจะชิงตัวกลับไปเป็นสะใภ้ เพียงแต่เวลานั้นพวกเจ้าอายุยังน้อย ต่อมาไม่ได้มาเมืองหลวงหลายปี นางเองก็แต่งงานแล้ว ข้ายังรู้สึกเสียดายนัก ประเดี๋ยวก่อน…” หรงฮูหยินหน้าเปลี่ยนสี “คนที่เจ้าถูกใจคือคุณหนูใหญ่ที่หย่าร้างแล้วกลับมาอาศัยอยู่ที่บ้าน?”
“ใช่แล้วขอรับ” หรงหยวนโย่วสีหน้าสงบนิ่ง
“เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ!” หรงฮูหยินปัดเตาที่ข้างมือตกลงพื้น
สาวใช้สองคนในห้องก้มหน้าลงอย่างฉับไว ไม่กล้าหายใจแรง
หรงหยวนโย่วหลุบตาลง นั่งเงียบอยู่ข้างๆ ไม่เอื้อนเอ่ยคำใด
ในห้องเงียบลง ผ่านไปครู่ใหญ่หรงฮูหยินก็ถามอีก “วันนี้เจ้าได้พบนางเป็นการส่วนตัวแล้วหรือ”
“มิใช่ นางไม่ได้รับรู้ความในใจของหยวนโย่ว”
หรงฮูหยินโมโหจนหัวเราะออกมา เอ่ยถามว่า “แสดงว่าบุตรชายข้ามีใจอยู่ฝ่ายเดียว? ยังไม่ทันเกี้ยวสาวได้ก็ชิงแล่นมาร่ำร้องเป็นเรื่องเป็นราวต่อหน้าข้าแล้ว”
“จะอย่างไรหยวนโย่วก็ต้องถามความเห็นของท่านแม่ก่อน” หรงหย่วนโย่วกล่าว
“พูดเสียน่าฟัง” หรงฮูหยินยิ้มเย็น “ถามความเห็นข้า? มาเกลี้ยกล่อมยายแก่ขวางหูขวางตาอย่างข้าให้ได้ก่อนจะไปตามเกี้ยวสาวมากกว่ากระมัง”
“ท่านแม่ไม่แก่”
หรงฮูหยินปรายตามองบุตรชายอย่างหมดคำพูด เอนตัวกลับไปพิงตั่งแล้วยื่นมือไปหาสาวใช้อย่างเกียจคร้าน สาวใช้รุ่นเยาว์รีบส่งเตาอุ่นมืออีกใบให้ ก่อนจะย่อตัวลงเก็บเตาที่ถูกนางปัดคว่ำ
“เจ้ามีแผนจะทำให้นางเห็นด้วยอย่างไร”
ในดวงตาสงบนิ่งของหรงหยวนโย่วปรากฏแววว้าวุ่น
หรงฮูหยินถอนหายใจหนักๆ ก่อนโบกมือ “เอาล่ะ ออกไปได้แล้ว อย่าปล่อยโอกาสอันดีในการผูกไมตรีในวันนี้ให้พลาดไป”
หรงหยวนโย่วมองสีหน้ามารดาแล้วก็รู้สึกยินดีในทันที รีบลุกขึ้นกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณท่านแม่มากขอรับ!”
หรงหยวนโย่วจากไปแล้ว หัวคิ้วหรงฮูหยินค่อยขมวดมุ่น ในใจให้งุ่นง่านนัก สกุลหรงกับสกุลกู้มีฐานะทัดเทียมกัน เพียงแต่…กู้ไจ้หลีหรือ