คราวนี้กู้เจี้ยนหลีนำก๋วยเตี๋ยวเส้นปลามาสองชาม นางนั่งลงฝั่งตรงข้ามจีอู๋จิ้งแล้วตั้งอกตั้งใจกิน ไอร้อนจากเส้นก๋วยเตี๋ยวระผ่านหน้า ทำให้แก้มนางแดงก่ำขึ้นมา
เดิมทีจีอู๋จิ้งไม่อยากกิน แต่ถูกท่าทางตั้งอกตั้งใจกินของกู้เจี้ยนหลีดึงดูดสายตาจนเขาเองก็อดไม่ได้ที่จะจับตะเกียบขึ้นมากินเงียบๆ
หมู่เขาที่อยู่ห่างไปไกลมีหิมะขาวโพลนปกคลุม เสียงแขกเหรื่อหัวเราะพูดคุยดังเซ็งแซ่ลอยแว่วมาจากด้านล่าง ในศาลารับลมที่ล้อมรอบด้วยดอกเหมยแดงบนภูเขาจำลอง คนทั้งสองหลบความครึกครื้นมานั่งกินก๋วยเตี๋ยวร้อนควันฉุยอยู่ตรงข้ามกัน ติดดินมีชีวิตชีวามากกว่าสวรรค์ชั้นฟ้าบนภูเขาหิมะ ให้บรรยากาศเหมือนแดนเซียนเหนือโลกีย์มากกว่าบริเวณงานเลี้ยงด้านล่าง
เมื่อคนทั้งสองใกล้จะกินเสร็จ จี้ซย่าก็วิ่งไปนำผลไม้มาให้พวกเขาอย่างรู้งาน
กู้เจี้ยนหลีหยิบคันฉ่องอันเล็กออกมาส่องใบหน้า เครื่องประทินโฉมยังสมบูรณ์ดี ปิ่นระย้าที่ปักอยู่ในเรือนผมกลับเอียงอยู่บ้าง นางคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยัดคันฉ่องใส่มือจีอู๋จิ้งให้เขาชูไว้ แล้วตนเองก็หามุมเหมาะๆ ส่องคันฉ่องจัดมวยผมและปิ่นให้เรียบร้อย
“กู้เจี้ยนหลี เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าข้าคล้ายจะเป็นสาวใช้ของเจ้าแล้ว” จีอู๋จิ้งพูดด้วยน้ำเสียงยานคาง
กู้เจี้ยนหลีตั้งใจจัดมวยผม ตอบส่งๆ โดยไม่ได้มองเขา “ดูแลการกินการดื่มของท่าน ข้าเหมือนเป็นแม่นมท่านมากกว่าอีก”
จีอู๋จิ้งแค่นหัวเราะ “แม่นม? เช่นนั้นเจ้าก็อุ้มข้าเข้าอก ปลดเสื้อแล้วให้นมข้าสิ”
มือของกู้เจี้ยนหลีหยุดชะงัก เดิมนึกว่าชินกับวาจาทะลึ่งตึงตังของจีอู๋จิ้งไปนานแล้ว แต่ทุกครั้งก็ยังคงถูกเขาทำให้พ่ายแพ้ด้วยความลามกไร้ยางอายที่หนักข้อขึ้นเรื่อยๆ
นางถลึงตาใส่เขา จากนั้นก็พูดด้วยท่าทางเป็นจริงเป็นจัง “จีเจา อันที่จริงข้ามีโรคแฝงอยู่ หูมักจะหนวกเป็นครั้งคราว เมื่อครู่ท่านพูดอะไรข้าฟังไม่ได้ยิน พูดอีกรอบก็ไม่ได้ยิน”
จีอู๋จิ้งร้อง “อ้อ” มีสีหน้าจริงจังขึ้นมาเช่นกัน เขากล่าวว่า “นั่นสิ ข้ามองออกนานแล้วว่าเจ้ามีโรคแฝงอยู่ มา แลบลิ้นออกมาให้อาดูหน่อยว่ามีวิธีรักษาหรือไม่”
กู้เจี้ยนหลีกลั้นขำ แลบปลายลิ้นเล็กออกมาอย่างให้ความร่วมมือ ริมฝีปากแดงงามหยาดเยิ้ม ปลายลิ้นนุ่มชื้นสีชมพูโผล่ออกมาจากช่องระหว่างริมฝีปาก
จีอู๋จิ้งพลันชะโงกตัวไปกัดปลายลิ้นที่ยื่นออกมาของนาง
กู้เจี้ยนหลีเบิกตาโตด้วยความตกใจทันที นางผลักเขาออกแล้วหันหน้าไปมองทางด้านล่างอย่างรวดเร็ว สาวใช้ขบวนหนึ่งถือแจกันดอกไม้เดินผ่านมาตรงด้านล่างภูเขาจำลองพอดี แต่พวกนางไม่ได้สังเกตเห็นว่าบนภูเขาจำลองมีคนอยู่
หัวใจกู้เจี้ยนหลีกลายเป็นกลองใบน้อย ไม้กลองสองอันทุบลงบนหน้ากลองจนเกิดเสียงดังโครมคราม
ครั้นสาวใช้เหล่านั้นเดินผ่านไปแล้ว กู้เจี้ยนหลีก็ลดเสียงลงแล้วเอ่ยตำหนิ “ท่านมาทำรุ่มร่ามอยู่ข้างนอกได้อย่างไร!”
จีอู๋จิ้งเอื้อมมือไปกุมสองแก้มของนางพลางพูดด้วยใบหน้าทะเล้น “หลีหลีน้อยของอาหน้าแดงอีกแล้ว อาจะประคบเย็นให้เจ้า จะได้ไม่ทำให้คนนอกเห็นแล้วหัวเราะเยาะเอาได้”
กู้เจี้ยนหลีแค่นเสียงด้วยอารามโกรธขึ้ง ปัดสองมือของจีอู๋จิ้งออก นางยกชายกระโปรงลุกขึ้นจากม้านั่งหินแล้วเดินไปที่ม้านั่งยาวด้านข้าง ก่อนจะพิงเสาสลักลายของศาลา เอาหน้าแนบลงไปเพื่อลดอุณหภูมิ
ดอกเหมยแดงที่ยื่นเข้ามาจากนอกศาลาลอยอยู่เหนือศีรษะกู้เจี้ยนหลี ลมหอบหนึ่งพัดผ่าน ดอกเหมยแดงร่วงโปรยปราย ตกลงบนเรือนผมดำขลับและลาดไหล่ของนาง
จีอู๋จิ้งเลียปากกล่าวว่า “ผู้อื่นอยู่ใกล้ๆ แต่มองไม่เห็นพวกเราทำเรื่องเหลวไหลกัน มิใช่น่าสนุกมากหรือไร”
กู้เจี้ยนหลีอุดหู
จีอู๋จิ้งดึงตัวนางให้หันมาแล้วกดนางเข้ากับเสาแดงสลักลาย ก่อนจะกัดลงบนริมฝีปากแดงที่หมายมาดมานาน
ดอกเหมยแดงบดบังเงาร่างของคนทั้งสอง
กู้เจี้ยนหลีได้ยินเสียงสาวใช้หัวเราะอยู่ไกลๆ ได้ยินเสียงเหล่าคุณชายปราศรัยทักทายกัน และยังมีเสียงฝีเท้าที่ทั้งเข้ามาใกล้และเดินไกลออกไป
จีอู๋จิ้งวางมือทาบตรงหน้าอกนางเพื่อฟังเสียงหัวใจที่เต้นระรัว
กู้เจี้ยนหลีได้ยินแล้วเช่นกัน นางอยากจะผลักมือเขาออก กลับทำได้เพียงกำแขนเสื้อเขาไว้
จีอู๋จิ้งโน้มหน้าไปข้างหูนาง หัวเราะเบาๆ แล้วลดเสียงลงพูดเสียงทุ้ม “อันที่จริงตอนอาสอนเจ้าป้องกันตัวได้เก็บกระบวนท่าไว้ท่าหนึ่ง ท่าไม้ตายไม่ใช่บีบ ‘สิ่งนั้น’ แต่เป็นกัด ‘สิ่งนั้น’ เจ้าอยากลองเรียนดูหรือไม่”
มาแล้ว ความแค้นในรถม้าเมื่อเช้าจะถูกชำระแล้ว