จีอู๋จิ้งมองแผ่นหลังที่วิ่งหนีไปของกู้เจี้ยนหลีแล้วพลันยิ้มออกมา เขาตามไปทันในไม่กี่ก้าว เอามือโอบเอวนางเดินจากไปพร้อมกัน
กู้เจี้ยนหลีลอบมองสีหน้าเขาแล้วก็วางใจ
มุมตรงนี้เปล่าเปลี่ยวลับตาคน เป็นนานกว่าจะมีบ่าวรับใช้ผ่านมา กู้เจี้ยนหลีกับจีอู๋จิ้งเดินไปยังสวนดอกไม้อันครึกครื้น ระหว่างทางบังเอิญเจอคนเพียงไม่กี่คน
คนทั้งสองเลี้ยวผ่านประตูวงเดือน จู่ๆ ก็ได้ยินคนพูดถึงกู้เจี้ยนหลีแว่วๆ กู้เจี้ยนหลีกับจีอู๋จิ้งมองไปตามเสียง เห็นเงาคนสองคนลอบคุยกันอยู่ใต้ต้นไม้
สองคนนั้นคือจีผิงเหลียนกับจีผิงเจวียน
“แม้รูปโฉมของกู้เจี้ยนหลีจะกลับมาดีดังเดิมแล้วอย่างไรเล่า มิใช่ยังเป็นที่น่าขบขันเหมือนเดิมหรือไร” จีผิงเจวียนจับผ้าเช็ดหน้าป้องปากยิ้ม “สตรีเรานี้ชาติตระกูลรวมถึงรูปโฉมวิชาความรู้ทั้งสำคัญและก็ไม่สำคัญ หากกล่าวถึงสิ่งที่สำคัญที่สุด นั่นย่อมเป็นการแต่งงานกับคนที่ดี”
จีผิงเจวียนประเมินมองสีหน้าของจีผิงเหลียน นางต่างจากพี่สาวซึ่งเกิดจากภรรยาเอกและเป็นถึงท่านหญิง จีผิงเจวียนเป็นบุตรสาวที่เกิดจากอนุ มีฐานะเป็นบุตรสาวสายรอง นางตามพี่สาวสายตรงมาเข้าเฝ้ายังเมืองหลวงได้อย่างราบรื่นสมใจเป็นเพราะนางสังเกตท่าทีคนเก่ง กล่อมท่านแม่ใหญ่และพี่สาวสายตรงเสียอยู่หมัด บนรถม้าขณะเดินทางมา หรงหวั่นอินถามถึงเรื่องกู้เจี้ยนหลี แม้จีผิงเหลียนจะมีท่าทางเรียบร้อยเป็นกุลสตรี แต่จีผิงเจวียนกระจ่างแจ้งแก่ใจดีว่าหญิงสาวล้วนชอบการเปรียบเทียบ ล้วนเป็นท่านหญิงเหมือนกัน ใครไม่อยากอยู่เหนือกว่าท่านหญิงคนอื่นบ้างเล่า
เดิมทีจีผิงเจวียนยังคาดเดาความคิดพี่สาวได้ไม่ปรุโปร่ง แต่ขณะกู้เจี้ยนหลีตามบิดาไปรับเสด็จนั้นมีหน้ามีตาโดยแท้ นางสังเกตสีหน้าจีผิงเหลียนอย่างเงียบๆ ก็เห็นแววไม่ชอบใจวาบผ่านในดวงตาของผู้เป็นพี่สาว
“อย่าพูดจาส่งเดช” จีผิงเหลียนกล่าว แม้ปากนางจะพูดเช่นนี้ ในดวงตากลับไม่มีแววตำหนิติเตียนน้องสาว กระทั่งมีแววเห็นด้วยอยู่รางๆ เสียด้วยซ้ำ
จีผิงเจวียนยิ่งรู้แล้วว่าต้องทำอย่างไร จึงยิ่งเริ่มปากกล้า
“พี่หญิงคนดีของข้าดีกว่ากู้เจี้ยนหลีเป็นร้อยเท่า ไม่มีทางแต่งงานกับคนเช่นนั้นให้ถูกย่ำยีเปล่าๆ ไปทั้งชาติแน่นอน” จีผิงเจวียนป้องปากยิ้มเยาะ “จีเจาผู้นั้นโตมาในสำนักประจิม สำนักประจิมมีแต่พวกขันทีไม่สมประกอบ ขันทีถ้าไม่เป็นพวกสุนัขที่ถูกคนเหยียบไว้ใต้เท้าข่มเหงรังแก แม้แต่จะนับเป็นคนยังไม่ได้ ก็เป็นพวกเฒ่าหนังเหนียวชอบพูดจาส่อเสียดวิปริตน่าสะอิดสะเอียน เห็นได้ชัดว่าจีเจาเป็นอย่างหลัง ไม่รู้เลยว่าปกติเฆี่ยนตีปู้ยี่ปู้ยำกู้เจี้ยนหลีอย่างไร!”
จีผิงเหลียนปรายตามองน้องสาวอย่างเดียดฉันท์ พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เจ้าเข้าใจอะไรๆ ไม่น้อยทีเดียว”
จีผิงเจวียนแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจคำเหยียดหยามของพี่สาว ยังคงพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเอาใจเช่นเดิม “น้องได้ยินพวกบ่าวรับใช้ซุบซิบกัน”
“อย่าเอาแต่ฟังพวกปากมากพูดเหลวไหล” จีผิงเหลียนตำหนิด้วยท่าทางเคร่งขรึม “คำที่เจ้าพูดวันนี้เลยเถิดอยู่บ้าง ไม่เหมาะไม่ควร วันหน้าห้ามทำอีก”
“เจ้าค่ะ น้องไม่กล้าแล้ว” จีผิงเจวียนยิ้มพลางกล่าวขออภัย แต่ในใจกลับยิ้มเย็น
เสแสร้งอะไรกัน
จีผิงเจวียนเข้าใจพี่สาวผู้เสแสร้งแกล้งทำคนนี้ยิ่งกว่าใคร ภายนอกรักษามารยาทวางท่าเรียบร้อย ข้างในลึกๆ มิใช่ทนเห็นผู้อื่นได้ดีไม่ได้เช่นกันหรือไร แม้เบื้องหน้าพี่สาวจะตำหนินาง แต่ในใจกลับชอบฟังนางพูดคำเหล่านี้ นางรู้เช่นกันว่าบรรดาคำที่ตนเองพูดหาใช่ความจริงทั้งหมด มีส่วนที่เกินจริงอยู่ ก็แค่แสร้งเป็นคนถ่อยเพื่อกล่อมให้พี่สาวเบิกบานใจเท่านั้นเอง
จีผิงเหลียนกับจีผิงเจวียนเดินไปไกลแล้ว กู้เจี้ยนหลีถึงได้ปล่อยมือจีอู๋จิ้ง นางพินิจมองสีหน้าเขาอย่างละเอียด ก่อนจะใช้น้ำเสียงนุ่มนวลเอ่ยขึ้น
“น้องสาวสายรองที่ประจบพี่สาวสายตรงคนหนึ่ง สิ่งที่พูดล้วนเป็นถ้อยคำเลื่อนเปื้อน ถือเป็นจริงเป็นจังไม่ได้”
“ห้ามข้าเพราะกลัวข้าจะฆ่าคนหรือ” จีอู๋จิ้งเอ่ยถาม สีหน้าเขาย่ำแย่เป็นที่สุด ในดวงตาจิ้งจอกที่หรี่น้อยๆ มีประกายอึมครึมเหี้ยมเกรียมที่ไม่ได้เห็นมานาน
กู้เจี้ยนหลีส่ายหน้า นางก็งุนงงสับสนอยู่เช่นกัน เป็นครั้งแรกที่ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี มีทั้งความกังวลและความลังเล
จีอู๋จิ้งหันหน้ามามองสำรวจสีหน้าเหม่อลอยของกู้เจี้ยนหลี เขาแค่นหัวเราะทีหนึ่งก่อนจะเอ่ยถามอย่างไม่ยี่หระ