“กู้เจี้ยนหลี เหตุใดทุกคนล้วนคิดว่าเจ้าแต่งงานกับข้าแล้วจะกลายเป็นที่น่าขบขัน ต้องถูกกระทำย่ำยีไปทั้งชาติ หากผู้ที่เจ้าแต่งงานด้วยไม่ใช่ข้า แต่เป็นหลานชายผู้นั้นของข้า ผู้อื่นก็จะชมว่าเป็นคู่รักเทพเซียนใช่หรือไม่ เหมือนอย่างที่เจ้าพูดเมื่อครู่นี้…ชมบุปผาชมพระจันทร์อะไรนั่น?” ในสีหน้าของจีอู๋จิ้งมีแววหงุดหงิดรำคาญใจระคนอยู่ เขากล่าวอีกว่า “บุปผาเอยพระจันทร์เอยมีอะไรน่าชม บุปผาเอยต้นหญ้าเอยน่าเกลียดจะแย่ น่ามองสู้เจ้ายังไม่ได้เลย พระจันทร์ก็ขาวผ่องไม่สู้ก้นเจ้า”
กู้เจี้ยนหลีนิ่งงันไป ถ้อยคำที่เดิมทีอยากเอื้อนเอ่ยถูกเขาทำเอาติดอยู่ในลำคอ
“ท่านพูดจาเหลวไหลอีกแล้ว!” นางสบสายตาเขา พยายามทำให้ตนเองมองข้ามวาจาหยาบโลนของเขาไปแล้วเอ่ยปากว่า “เช่นนั้นท่านจะหย่ากับข้าแล้วปล่อยข้าไปแต่งงานกับผู้อื่นหรือไม่”
“ไม่” จีอู๋จิ้งตอบเพียงคำเดียว โพล่งออกมาโดยไม่แม้แต่จะคิด
“นั่นก็หมดเรื่องแล้วมิใช่หรือ” นางมุ่นคิ้ว “ท่านมิใช่เคยบอกว่าคนเราเกิดมาทั้งทีพึงใช้ชีวิตตามอำเภอใจหน่อยหรือไร ไม่ต้องกังวลถึงความเห็นของผู้อื่น ทำให้ตนเองสุขใจต่างหากที่สำคัญ”
กู้เจี้ยนหลีเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยต่อ “คนเรามีหลายด้าน มีครบหมดทั้งดีทั้งไม่ดี ด้านไม่ดีมีไม่ใช่น้อยๆ จะสนไปไยว่าพวกเขาจะพูดอย่างไร” นางจูงมือเขาพลางพูด “เอาล่ะ พวกเราไปที่สวนกันได้แล้ว วันนี้เป็นวันเกิดของท่านพ่อ เลี่ยงก่อความวุ่นวายหน่อยจะดีกว่า”
จีอู๋จิ้งมองมือนางปราดหนึ่งแล้วเดินหน้าต่อไปด้วยสีหน้าอ่อนเพลีย
เดินมาได้หกเจ็ดก้าว กู้เจี้ยนหลีก็พลันหยุดฝีเท้า
จีอู๋จิ้งหันหน้ามาเหล่มองนาง เอ่ยถามด้วยสีหน้าระอา “อะไรอีก”
“ไม่ได้ ข้าโมโห อย่างไรก็ยังโมโห” กู้เจี้ยนหลีส่ายศีรษะอย่างติดจะขุ่นเคือง “นางว่าท่านเช่นนั้นได้อย่างไรกัน บอกว่าท่านเป็นพวกเฒ่าหนังเหนียวชอบพูดจาส่อเสียดวิปริตน่าสะอิดสะเอียนได้อย่างไร”
นางทำท่านับนิ้ว หนึ่งนิ้วต่อคำบรรยายหนึ่งคำ พูดถึงตอนท้ายก็ควันแทบออกหูแล้ว
จีอู๋จิ้งตะลึงงัน พินิจมองท่าทางกระหืดกระหอบของนางอย่างค่อนข้างประหลาดใจ ก่อนจะกล่าวอย่างเฉื่อยชา “นางพูดได้ถูกต้องยิ่ง ข้าเป็นพวกเฒ่าหนังเหนียวชอบพูดจาส่อเสียดวิปริตน่าสะอิดสะเอียนจริงๆ นี่ จิ เจ้ามิใช่เคยด่าข้าเช่นนี้เหมือนกันหรือไร ไม่เคยด่าออกเสียงก็ต้องเคยด่าอยู่ในใจ”
คราวนี้เปลี่ยนเป็นกู้เจี้ยนหลีตะลึงงันแทนบ้าง ข้าเคยด่าด้วยหรือ นางนิ่วหน้า พูดอย่างไม่พอใจ “เอาเป็นว่านางพูดเช่นนี้ไม่ได้!”
นางสะบัดมือเขาออก ก้าวปราดๆ ไปข้างหน้าด้วยอารามโกรธเคือง
“หึๆ” จีอู๋จิ้งหัวเราะเสียงทุ้มอยู่ข้างหลังนาง เขาก้าวขายาวๆ ไล่ตามแม่นางน้อยที่โมโหกระหืดกระหอบพลางกล่าวประชดประชันกลั้วหัวเราะ “กู้เจี้ยนหลี เจ้ามิใช่ใจกว้างเป็นที่สุดหรอกหรือ คนนั้นเมื่อคราวก่อน จำไม่ได้แล้วว่าชื่อกระไร เอาเป็นว่าคนนั้นนั่นล่ะ เจ้าก็ไม่ได้สนใจนางเหมือนกันนี่”
จีอู๋จิ้งพูดจาคลุมเครือ แต่กู้เจี้ยนหลีฟังเข้าใจว่าเขาหมายถึงถังหงฮุ่ย
นางเอ่ยปากโดยไม่หยุดเท้า “หากไม่แก้เผ็ดไม่เอาคืนเนื่องด้วยในใจไม่แยแสโดยสิ้นเชิง นั่นเรียกว่าใจกว้าง แต่หากตนเองโมโหแล้วยังจะไม่เอาคืน นั่นมิใช่ความใจกว้าง แต่เป็นความอดกลั้น เป็นการเอามีดแทงหัวใจ หาเรื่องไม่สบายใจให้ตนเอง”
จี้ซย่าหิ้วกล่องข้าวที่ใส่ผลไม้และขนมของหวานไว้เต็มเดินสวนมา เห็นกู้เจี้ยนหลีมีสีหน้าผิดปกติก็รีบหลบไปรอข้างทาง เมื่อผู้เป็นนายเดินมาใกล้ นางยังไม่ทันพูดอะไร กู้เจี้ยนหลีก็ชิงเอ่ยปากขึ้นก่อน
“ไป ไปขอยืมบ่าวรับใช้จากพี่สาวข้ามาสักสองสามคน เอาที่หน้าตาดุร้ายหน่อย”
จี้ซย่าเองก็ไม่ได้ถามให้มากความ ไปจัดการตามคำสั่งทันที
ใกล้ถึงยามอู่ แดดออกกำลังดี คล้ายว่ามิใช่ฤดูหนาว แต่เริ่มเข้าฤดูใบไม้ผลิแล้ว แขกเหรื่อสตรีเกือบทั้งหมดล้วนออกมาจากบรรดาโถงบุปผาเดินชมไม้ดอกไม้ประดับชื่อดังล้ำค่าในสวน
สองพี่น้องจีผิงเหลียนและจีผิงเจวียนนั่งรวมกับสตรีเมืองหลวงกลุ่มใหญ่ เล่นปาลูกดอกกันอยู่ ถึงตาของจีผิงเจวียนพอดี นางหยิบลูกดอกมาทำท่าเล็ง
กู้เจี้ยนหลีเดินไปใกล้ เหล่าหญิงสาวที่ล้อมวงอยู่หลีกทางเล็กน้อยให้นางเดินเข้าด้านใน
“คุณหนูห้าสกุลจี” กู้เจี้ยนหลีเอ่ยปากเรียก
ลูกดอกหลุดออกจากมือจีผิงเจวียน ตกลงพื้นโดยที่ยังห่างจากเป้าอีกไกล นางมองลูกดอกที่ตกอยู่บนพื้นแวบหนึ่งด้วยความเสียดาย แล้วถึงหันมามองกู้เจี้ยนหลี บนหน้าประดับรอยยิ้มหวานพิมพ์ใจดูไร้พิษภัย
“ที่แท้ท่านหญิงเซิ่งอี๋ก็มาแล้ว น่าเสียดายที่ข้าปาได้น่าขายหน้าจริงๆ ทำให้สายตาท่านหญิงแปดเปื้อนแล้ว!”
กู้เจี้ยนหลียิ้มบางๆ แต่รอยยิ้มไปไม่ถึงดวงตา นางกล่าวว่า “ไม่ใช่ การปานี้ไม่ได้ทำให้สายตาข้าแปดเปื้อน แต่ทำให้หูข้าแปดเปื้อนต่างหาก”
รอยยิ้มของจีผิงเจวียนแข็งค้างอยู่บนหน้าในทันใด
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 24 พ.ย. 68