บทที่ 147
หรือว่าเรื่องที่ข้าพูดกับพี่สาวเมื่อครู่นี้จะถูกบ่าวรับใช้ในจวนอ๋องมาได้ยินเข้า แล้วก็นำคำที่ข้าพูดไปเล่าต่อให้กู้เจี้ยนหลีฟัง?
จีผิงเจวียนพลันใจเต้นเร็วขึ้นเล็กน้อย
ไม่ ไม่ใช่หรอกกระมัง
เหตุที่นางพูดถ้อยคำเหล่านั้นกับจีผิงเหลียนอย่างไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใดเป็นเพราะสถานที่นั้นลับตาคน ก่อนนางเอ่ยปากก็ได้สังเกตรอบข้างแล้วว่าไม่มีใคร! เหตุใดจึงถูกบ่าวรับใช้ในจวนมาได้ยินเข้าได้เล่า
ในใจจีผิงเจวียนบริภาษบ่าวรับใช้ผู้ถ่ายทอดคำพูดที่ตนนึกคิดเอาเองไปถึงบรรพบุรุษสิบแปดชั่วโคตรแล้วด้วยซ้ำ วันนี้มีงานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันเกิดในจวน เป็นบ่าวรับใช้คนใดกันแน่ที่ไม่รู้ความถึงเพียงนี้ ทำให้แขกเหรื่อและเจ้าภาพอารมณ์ไม่ดี นี่เป็นการไม่รู้ความหรือตั้งใจยุแยงตะแคงรั่วกันแน่
ประเดี๋ยวก่อน…หรือจะไม่ใช่เรื่องที่ข้าพูดกับพี่สาวตามลำพังในวันนี้ลอยไปเข้าหูกู้เจี้ยนหลี แต่เป็นเวลาอื่น
จะอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางปากมากลับหลังกู้เจี้ยนหลี ระหว่างเดินทางมาตอนนางนั่งอยู่ในรถม้าร่วมกับหรงหวั่นอินก็เคยพูดถึงกู้เจี้ยนหลี หรือว่าหรงหวั่นอินจะเอาคำพูดไปบอกต่อ?
ทันใดนั้นจีผิงเจวียนก็เริ่มไม่แน่ใจแล้วเช่นกัน
ในหัวสมองของนางคิดไปหลากหลายอย่าง แต่ก็เพียงชั่วครู่เดียวเท่านั้น นางฉีกยิ้มแสร้งทำไขสืออย่างรวดเร็ว เอ่ยปากพร้อมรอยยิ้มกว้าง
“วาจานี้ของท่านหญิงชวนให้คนตกใจโดยแท้ ผิงเจวียนไม่ทราบว่ายังต้องอยู่เป็นแขกต่ออีกหรือไม่! ไม่ทราบอีกเช่นกันว่าเป็นคนถ่อยคนใดกันแน่ที่จงใจปากมากต่อหน้าท่าน รับบทยุแยงทำให้คนแตกคอกัน แต่วันนี้ในจวนมีคนมาก ความก็มากตาม อาจมีใครได้ยินอะไรผิดไปก็เป็นได้ ท่านหญิงอย่าได้หลงเชื่อความข้างเดียว ยิ่งอย่าได้โมโหโทโสเพราะการเล่าลือที่ผิดเพี้ยนไปเชียว ข้าเป็นเพียงบุตรสาวสายรองตัวเล็กๆ ต่อให้มีความกล้าเป็นร้อยเท่า ข้าก็ไม่กล้าพูดจาส่งเดช!”
แขกเหรื่อที่มุงอยู่รอบๆ มองหน้ากันเลิ่กลั่ก ไม่กล้าปริปากง่ายๆ ต่างก็รอดูสถานการณ์ก่อนเช่นกัน
จีผิงเหลียนนั่งอยู่ด้านข้าง นางใจคอไม่ดีเล็กน้อยแต่ไม่ได้แสดงอาการใดๆ ออกมาทางสีหน้า ยังคงวางท่าเป็นท่านหญิงอยู่ดังเก่า
“นี่เกิดเรื่องอะไรกัน” ชายาก่วงเสียนอ๋องพาสาวใช้รุดมา ฮูหยินในเมืองหลวงที่รุ่นราวคราวเดียวกับนางก็ตามมาด้วยสองสามคน
จีผิงเหลียนยิ่งใจหล่นวูบ รีบลุกขึ้นสอบถาม “เหตุใดท่านแม่จึงมาตรงนี้เล่าเจ้าคะ”
“ท่านหญิงเซิ่งอี๋ส่งคนไปแจ้งให้ข้ามาที่นี่” ชายาก่วงเสียนอ๋องตวัดสายตามองจีผิงเจวียน ก่อนมองไปยังกู้เจี้ยนหลีอย่างคล้ายสอบถาม
ในใจจีผิงเหลียนกับจีผิงเจวียนล้วนรู้สึกว่าท่าไม่ดีแล้ว เหตุใดกู้เจี้ยนหลีผู้นี้ถึงไม่คำนึงแม้แต่น้อยว่าวันนี้เป็นงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของบิดาตนเอง ถึงกับจะทำให้เป็นเรื่องใหญ่ให้ได้
“รบกวนชายาก่วงเสียนอ๋องแล้ว เพียงแต่คุณหนูห้าของจวนท่านได้กล่าววาจาไม่ค่อยเหมาะสม ท่านนับว่าเป็นมารดาใหญ่ของนาง เจี้ยนหลีได้แต่เชิญท่านมาตัดสิน”
ชายาก่วงเสียนอ๋องพอจะตระหนักได้เลาๆ ว่าถ้าถึงขั้นทำให้กู้เจี้ยนหลียกเรื่องขึ้นมาถกได้ เรื่องราวดูคล้ายจะร้ายแรงพอตัว
นางจึงถามว่า “มิทราบว่าผิงเจวียนพูดอะไรผิดไป”
กู้เจี้ยนหลีกระตุกมุมปากเบาๆ
“แม้รูปโฉมของกู้เจี้ยนหลีจะกลับมาดีดังเดิมแล้วอย่างไรเล่า มิใช่ยังเป็นที่น่าขบขันเหมือนเดิมหรือไร พี่หญิงคนดีของข้าดีกว่ากู้เจี้ยนหลีเป็นร้อยเท่า ไม่มีทางแต่งงานกับคนเช่นนั้นให้ถูกย่ำยีเปล่าๆ ไปทั้งชาติแน่นอน จีเจาผู้นั้นโตมาในสำนักประจิม สำนักประจิมมีแต่พวกขันทีไม่สมประกอบ ขันทีถ้าไม่เป็นพวกสุนัขที่ถูกคนเหยียบไว้ใต้เท้าข่มเหงรังแก แม้แต่จะนับเป็นคนยังไม่ได้ ก็เป็นพวกเฒ่าหนังเหนียวชอบพูดจาส่อเสียดวิปริตน่าสะอิดสะเอียน เห็นได้ชัดว่าจีเจาเป็นอย่างหลัง ไม่รู้เลยว่าปกติเฆี่ยนตีปู้ยี่ปู้ยำกู้เจี้ยนหลีอย่างไร”
กู้เจี้ยนหลีทวนคำพูดของจีผิงเจวียน
ถ้อยคำดุจเดียวกันกับที่ออกจากปากจีผิงเจวียนทำให้คนรู้สึกว่าเจ็บแสบใจดำ ไร้ยางอายทั้งยังสกปรก กู้เจี้ยนหลีใช้น้ำเสียงไม่เร็วไม่ช้าถ่ายทอดออกมาโดยไม่เจือปนอารมณ์ใดๆ นางถ่ายทอดความด้วยการออกเสียงที่ชัดเจนโดยไม่เน้นคำใดทั้งสิ้น และไม่หลีกเลี่ยงบรรดาคำหยาบคายที่ไม่ควรออกมาจากปากกุลสตรีชั้นสูงด้วยเช่นกัน
ทั้งๆ ที่นางไม่มีท่าทีเดือดดาล เสียงก็นุ่มเบา แต่กลับทรงพลัง ไร้โทสะแต่ไม่เสียความทรงอำนาจ ภายใต้การให้เกียรติสอดแทรกด้วยการประณามตำหนิด้วยท่าทางอันสูงส่ง
จีผิงเหลียนที่เดิมทียังไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่มีสีหน้าไม่น่าดูในทันที วาจานี้ของกู้เจี้ยนหลีลากเอานางออกมาด้วยแล้ว! เดิมนึกว่าอีกฝ่ายเพียงจะระบายแค้นกับลูกอนุคนหนึ่ง แต่จีผิงเหลียนมีฐานะทัดเทียมกับกู้เจียนหลี อีกฝ่ายกระทำการโดยไม่คำนึงถึงหน้าตาของสองตระกูลปานนี้ได้อย่างไร