เมื่อกู้เจี้ยนหลีพูดจบ รอบข้างก็เงียบกริบ
ดวงตาแต่ละคู่ลอบมองไปยังจีอู๋จิ้ง วาจาเหล่านี้ที่ออกมาจากปากของกู้เจี้ยนหลี คนโดยรอบหาได้รู้สึกไม่คุ้นเคยเสียเท่าไร คำเหล่านี้พวกเขาล้วนเคยได้ยินคนวิพากษ์วิจารณ์มาไม่มากก็น้อย เพียงแต่ถ้อยคำไม่ได้ยากจะฟังเข้าหูเท่านี้ เดิมนึกว่าจีผิงเจวียนพูดอะไรกระตุกต่อมโทสะกู้เจี้ยนหลี คิดไม่ถึงเลยว่าผู้ที่นางปั้นเรื่องใส่ร้ายจะเป็นจีอู๋จิ้ง!
จีอู๋จิ้งมาด้วยกันกับกู้เจี้ยนหลี ทว่าเขาไม่ได้เดินเคียงมากับนาง เพียงตามหลังอยู่สองสามก้าวอย่างเกียจคร้าน เมื่อเข้ามาในกลุ่มคนก็หาโต๊ะว่างนั่งลง เวลานี้กำลังหมุนถ้วยชาบนโต๊ะศิลาเล่นด้วยท่าทางเบื่อหน่าย
จีผิงเจวียนมีท่าทีตอบสนองขึ้นมาแล้ว ตีให้ตายก็ไม่ยอมรับ! นางทำตาแดง แสดงสีหน้าสลดน่าสงสารที่ได้รับความไม่เป็นธรรมออกมาอย่างรวดเร็ว
“ท่านหญิง ท่านปรักปรำกันแล้ว! ข้าเป็นเพียงบุตรสาวอนุตัวเล็กๆ ไหนเลยจะกล้าวิพากษ์วิจารณ์ท่าน! ยิ่ง…ยิ่งไม่กล้าพูดเช่นนั้นถึงหัวหน้าจี!” นางสะอื้นเบาๆ ร่ำไห้เสียดูน่าสงสารจับใจ
จีผิงเหลียนรู้สึกตัวแล้วเช่นกัน ในเมื่อกู้เจี้ยนหลีลากนางออกมาแล้ว นางย่อมไม่อาจหลบพ้นไปได้ง่ายๆ จึงเอ่ยปากว่า “ท่านหญิงเซิ่งอี๋ ข้าไม่รู้ว่าท่านได้ยินวาจานี้จากที่ใด แต่ในเมื่อในวาจานี้เอ่ยถึงข้าด้วย ข้าก็จำต้องอธิบายให้ชัดเจน ที่มาเยือนในวันนี้พวกข้ามาเพื่ออวยพรวันเกิด ไม่ได้มาหาเรื่องอย่างเด็ดขาด ต่อให้น้องสาวคนนี้ของข้าไม่รู้ความไปบ้าง ก็ไม่มีทางพูดคำเหล่านี้แน่นอน”
ชายาก่วงเสียนอ๋องมีสีหน้าเข้มขึ้น นางไม่ใคร่เชื่อนักว่าบุตรสาวสายตรงผู้ดีเลิศกับบุตรสาวสายรองผู้ปากหวานน่าเอ็นดูจะพูดคำหยาบคายเหล่านี้ลับหลัง นี่เหมือนเป็นการตบหน้านางว่าสั่งสอนลูกได้ไม่ดี
จีผิงเจวียนพูดทั้งน้ำตา “ไม่รู้ว่าใครต้องการปรักปรำทำร้ายข้า! ในเมื่อท่านพูดเสียเป็นตุเป็นตะก็พูดออกมาเลยว่าใครเป็นคนนำความมาบอก! ลากคนชั้นต่ำผู้นั้นออกมา ข้าจะประจันหน้ากับเขา! ดูซิว่าเขามีความแค้นอะไรกับข้ากันแน่ ถึงได้ต้องการทำร้ายข้าเช่นนี้!”
จีผิงเหลียนเองก็เอ่ยว่า “ท่านหญิงเซิ่งอี๋ช่วยพาตัวผู้ที่ถ่ายทอดความมายืนยันต่อหน้าด้วย วันนี้ฝ่าบาทก็ประทับอยู่ อย่างมากก็แค่กราบทูลเชิญมาทรงตัดสิน ทางที่ดีขอให้เป็นบ่าวรับใช้ถ่ายทอดความผิดพลาดไป เมื่อเป็นการเข้าใจผิดกันก็ไม่ถึงขั้นทำลายไมตรีของพวกเราสองตระกูล”
จีผิงเจวียนยืนกรานหนักแน่นว่าไม่เคยพูด คิดจะโยนเรื่องให้บ่าวรับใช้ จีผิงเหลียนก็มีความคิดเดียวกัน มิหนำซ้ำยังกำลังเตือนกู้เจี้ยนหลีด้วยว่าให้เลิกราเสีย อย่าได้ทำให้เป็นเรื่องใหญ่ก่อนจะสายไป
จีอู๋จิ้งวางถ้วยชาที่หมุนมาเป็นนานลง เขาแค่นหัวเราะเสียงหนึ่ง หางตายกขึ้น พูดอย่างเนิบนาบ “ข้าก็คือคนชั้นต่ำผู้นั้น”
จีผิงเจวียนตะลึงงัน ไม่ใช่ถูกบ่าวรับใช้ได้ยินแล้วนำความไปถ่ายทอดต่อกู้เจี้ยนหลี แต่เป็นจีอู๋จิ้งได้ยินเองกับหู?
จีอู๋จิ้งเปิดเปลือกตาขึ้น มองไปยังจีผิงเจวียน จากนั้นก็ยกมุมปากข้างหนึ่งยิ้มให้นางก่อนจะพูดอย่างไม่ยี่หระด้วยน้ำเสียงสบายๆ ถึงขั้นติดจะหยอกล้อพลางลุกขึ้นยืน
“หึ เฒ่าหนังเหนียวชอบพูดจาส่อเสียดวิปริตน่าสะอิดสะเอียนอย่างข้าเปลี่ยนไปเป็นคนชั้นต่ำแล้วหรือ ขอบคุณที่ชม”
“ข้า…ข้า…” จีผิงเจวียนที่แต่ไรมาพลิกลิ้นเก่งเป็นเลิศพูดอะไรไม่ออกในทันที ตกใจจนหน้าซีด สองขาสั่นพั่บๆ ยืนแทบไม่อยู่
จีอู๋จิ้งยิ้มไม่บ่อย พอเขายิ้มทีก็มีคนไม่รู้ตั้งเท่าไรหวาดผวาจนขวัญหนีดีฝ่อ กลัวว่าเสี้ยวเวลาถัดไปเขาจะถูกมารเข้าสิงแล้วตัดหัวคนขึ้นมา คนที่ล้อมอยู่ถอยหลังไปก้าวหนึ่งอย่างห้ามตนเองไม่ได้
กู้เจี้ยนหลีเอ่ยปากอีกครั้ง “บังเอิญแท้ ข้าเองก็อยู่ด้วย ท่านหญิงเหวินเหลี่ยนกับคุณหนูห้าสกุลจีอยากจะยืนยันกันอย่างไร จะบอกว่าข้ากับจีเจาล้วนหูแว่วไป หรือว่าจงใจปรักปรำพวกท่าน วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของบิดา ข้า ปฏิบัติต่อพวกท่านในฐานะแขกผู้มีเกียรติ ไม่เคยคิดเลยว่าพวกท่านจะพูดเรื่องเช่นนี้จ่อหูพวกข้ากลางจวน ผู้ที่ไม่สนใจมิตรภาพตลอดหลายปีของสองตระกูลดูคล้ายว่าจะไม่ใช่สกุลกู้ของพวกข้า” นางเบนหน้าเล็กน้อยไปสั่งหญิงรับใช้สูงวัยที่ยืนทำหน้าถมึงทึงอยู่ด้านหลัง “หลิวหมัวมัว รบกวนวิ่งสักเที่ยว ไปเชิญใต้เท้าเฉินแห่งสำนักประจิมมา ให้เขาช่วยมาแจกแจงทีว่าเหล่าใต้เท้าในสำนักประจิมมีลักษณะเช่นไรกันแน่ เรื่องที่คุณหนูห้าสกุลจีพูดเป็นความจริงหรือไม่”
“ไม่ ไม่…” จีผิงเจวียนไหนเลยจะยังเหลือความมั่นใจยืนกรานเด็ดขาดเต็มปากเต็มคำว่าไม่เคยพูดเหมือนอย่างเมื่อครู่นี้อีก ความกล้าที่รวบรวมออกมาถูกสะกิดเบาๆ ก็แตกสลายแล้ว
ชั่วแล้วยังโง่ ทั้งยังขี้ขลาด