บทที่ 79
หลังจากกลับมาเกิดใหม่เยี่ยอวิ๋นเยวี่ยมักไม่กล้าคิดถึงเรื่องราวในชาติก่อน เพียงแค่นึกถึงเรื่องดีๆ ที่จีอู๋จิ้งทำให้กู้เจี้ยนหลี ในใจก็เจ็บปวดราวกับถูกมีดกรีด
นางเกลียดตนเองที่ถอนหมั้น รู้สึกเสียใจจนไส้ดำคล้ำไปหมดแล้ว ผู้คนมากมายมักหาข้ออ้างให้ตนเองตามความเคยชิน เยี่ยอวิ๋นเยวี่ยไม่กล้าพอที่จะโกรธเกลียดตนเองถึงที่สุดจึงหันไปเกลียดบิดามารดาที่ไม่ห้ามยามนางถอนหมั้น เกลียดคนต่ำช้าอย่างอดีตสามีที่จงใจอาจเอื้อมเกี่ยวดอง ซ้ำยังถึงขั้นเกลียดหลัวมู่เกอสหายสนิทในวันวานจนกัดฟันกรอด
ในตอนแรกหลัวมู่เกอบอกนางว่าจีอู๋จิ้งอุ้มลูกชู้กลับมาสองคนทำเอานางกลัวจนไม่กล้าตบแต่งให้เขา ยามนี้ค่อยนึกขึ้นได้ว่าจีอู๋จิ้งจะมีลูกชู้หรือไม่ล้วนไม่สำคัญ ขอเพียงได้ครองตำแหน่งภรรยาของกั๋วฟู่ เขาจะสำเริงสำราญอยู่ด้านนอกเช่นไรก็ได้ทั้งนั้น จะฉุดคร่าสตรีก็ช่างเถิด อย่างไรคนที่ถูกฉุดก็ไม่ใช่นาง หากเห็นลูกชู้คู่นั้นขัดหูขัดตาก็คิดวิธีฆ่าทิ้งให้สิ้นเรื่องเสีย
พอนึกถึงหลัวมู่เกอ เยี่ยอวิ๋นเยวี่ยก็โกรธจนหายใจแทบไม่ออก ความสุขทั้งชีวิตนางถูกหลัวมู่เกอทำลายสิ้นไม่เป็นชิ้นดี! ดังคำกล่าวที่ว่าเตือนให้คืนดีดีกว่ายุยงให้เลิกรา ยอมพังศาลเจ้าสิบแห่งดีกว่าทำลายงานแต่งหนึ่งงานหลัวมู่เกอผู้นี้เป็นทั้งสหายสนิทของนางและศิษย์น้องของจีอู๋จิ้ง เหตุใดจึงจงใจพูดเรื่องไม่ดีของจีอู๋จิ้งต่อหน้านาง ต่อให้เป็นความจริงก็ควรจะปกปิดไว้สิจึงจะถูก!
“ท่านป้าอวิ๋นเยวี่ย!” จีซิงหลันเรียกพลางลุกขึ้นยืน
เยี่ยอวิ๋นเยวี่ยพลันได้สติกลับมา นางรีบวาดยิ้มพลางก้าวเข้าไป ทว่าขณะจะข้ามผ่านธรณีประตูก็มองไปทางจีอู๋จิ้งคราหนึ่ง สุดท้ายจึงหดขากลับแล้วเอ่ยขึ้นเสียงอ่อนโยน
“นายท่านห้า ผู้บัญชาการเฉินแห่งสำนักประจิมมาเจ้าค่ะ”
จีอู๋จิ้งมุ่นคิ้วน้อยๆ เผยสีหน้ารำคาญออกมา ทว่าเขายังคงไปพบเฉินเหอที่เรือนหน้า
 
เฉินเหอยังไม่ได้นั่งลง เขายืนอยู่ข้างโต๊ะสามขาทรงสูง ดวงตาจับจ้องอยู่ที่ตัวเสวี่ยถวนซึ่งอยู่บนโต๊ะด้วยท่าทางเกียจคร้าน ตอนที่จีอู๋จิ้งมาถึง เจ้าแมวน้อยพลันสะดุ้งตัวกระโดดเข้าไปในอ้อมกอดของเฉินเหอทันที
“มีอะไร” จีอู๋จิ้งเอ่ยถามโดยไม่ได้เข้าไปหา เพียงยืนพิงอยู่กับกรอบประตู
เฉินเหอหันกลับมาพิจารณาจีอู๋จิ้งตั้งแต่หัวจรดเท้าหนึ่งคราก่อนเอ่ยขึ้น “สีหน้าของศิษย์พี่ดูดีขึ้นไม่น้อย”
“เจ้ามาจากสำนักประจิมเพียงเพื่อกล่าววาจาไร้สาระหรือ”
เฉินเหอส่ายหน้ายิ้มๆ พลางตอบ “วันนี้ข้าเป็นตัวแทนฝ่าบาทมาเยี่ยมเยียนศิษย์พี่เชียวนะ อีกทั้งยังนำยาและสมุนไพรล้ำค่าที่ฝ่าบาทพระราชทานมาด้วย มีทั้งโสม เห็ดหลิงจือ และบัวหิมะพันปี ฝ่าบาทยังตรัสอีกว่าหากขาดสิ่งใดในตำรับยาให้ไปขอจากสำนักหมอหลวงได้ทุกเมื่อ”
จีอู๋จิ้งยกยิ้ม “ยาของข้ามิใช่ว่าเมื่อก่อนก็ขอจากสำนักหมอหลวงหรือ พูดเหลวไหลอะไรกัน”
เฉินเหอรู้สึกจนใจอยู่บ้าง “ศิษย์พี่ นี่เรียกว่าตอบแทนน้ำใจซึ่งกันและกัน ยิ่งกว่านั้นยังเป็นพระกรุณาธิคุณ”
“ยังมีเรื่องอื่นอีก?”
เฉินเหอเงียบไปครู่หนึ่งจึงกล่าวต่อ “ศิษย์น้องเช่นข้ารู้สึกประหลาดใจยิ่งนักที่นิสัยเช่นศิษย์พี่ยังไม่ถูกผู้อื่นตีตาย”
จีอู๋จิ้งแค่นหัวเราะ กล่าวตอบอย่างไม่ยี่หระว่า “เพราะไม่มีใครฆ่าข้าได้อย่างไรเล่า”
เฉินเหอวาจาติดขัด เงียบไปครู่หนึ่งจึงค่อยกล่าวต่อ “เวลานี้ฝ่าบาทต้องการกำลังคน”
“ข้าจับดาบไม่ไหวแล้ว” จีอู๋จิ้งเดินเข้ามานั่งลงเอนพิงเก้าอี้อย่างสบายอารมณ์ จากนั้นก็หยิบถ้วยชาที่วางคว่ำบนถาดรองออกมาวางตั้งบนโต๊ะ แล้วหมุนนิ้วให้ถ้วยชาหมุนตามเสียงดังขลุกๆๆ ท่าทีเกียจคร้านหยิบโหย่งอย่างยิ่ง
“พิษของศิษย์พี่…”
“ไร้ยาถอน รักษาไม่หาย”
“แต่ว่า…”
จีอู๋จิ้งชะงักมือ ถ้วยชาที่หมุนอยู่ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนกลิ้งตกลงบนพื้นแตกกระจายเสียงดังเพล้ง